ผู้คน..และระบบการเงินของโลก ยูเอสดอลล่าร์ถูกสร้างมาเพื่อการนี้ตั้งแต่ต้น ....แม้กระทั่งอียู และระบบเงินยูโรของมัน ..ก็ไม่ใช่สิ่งที่สร้างโดยชาวยุโรป แต่เป็นงานสร้างของซีไอเอ ที่เริ่มมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปี 1946 วินสตัน เชอร์ชิล พูดว่า. "เราต้องสร้างครอบครัวยุโรป เพื่อให้เกิดโครงสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เราจะต้องสร้าง 'สหรัฐยุโรป'..."
มาบัดนี้ นางเทเรซา เมย์ ก็ยังคงรับงานเป็นกระบอกเสียงให้สหรัฐ ..เป็นม้าโทรจันในยุโรป
ประมาณ 240 ปีมาแล้ว กลุ่มผู้ก่อตั้งฟรีเมสันในสหรัฐคิดคำสวยหรูเพื่อหลอกลวงชาวอเมริกันและต่อมาก็หลอกคนทั้งโลก ด้วยคำว่า Democracy (ประชาธิปไตย), Equality (ความเสมอภาพ), Free Speech (เสรีภาพในการพูด), Justice for All (ความเที่ยงธรรมในสังคม) ....เพื่อให้ประชาชนทั้งหลายเชื่อว่ากำลังอยู่ในสังคมที่มีเสรีภาพ ....(มีประโยคดราม่าของ Patrick Henry ว่า "Give me liberty, or give me death!"...ผู้แปล)
สโลแกนดราม่าพวกนี้มีอยู่เต็มไปหมดในรัฐธรรมนูญสหรัฐ (แต่นักหาเงินในเมืองไทยประยุกต์มาเขียนในป้ายรับจ้างถือ)...เนื้อหาจริงๆในรัฐธรรมนูญน่ะ มันเอื้อให้กับอิลิทกลุ่มอภิสิทธิ์ชนเล็กๆของสหรัฐเท่านั้น
ระบบทาสที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้งอาณานิคมก็ยังคงอยู่ มันถูกกฏหมายด้วยซ้ำตอนที่มีการใช้รัฐธรรมนูญแล้วน่ะ ..Equality กับ Justice for All ไม่เกี่ยว ...ระบบทาสอยู่ยืนยงมาอีกเกือบศตวรรษซะด้วย .....ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่แต่หลบไปอยู่เบื้องหลังระบบการเงินที่ซับซ้อน
ระบบการเงินที่อิงกับหนี้ debt-based ของโลกตะวันตก เป็นทายาทของรัฐธรรมนูญจอมปลอมนั้นนั่นเอง มันเริ่มมาตั้งแต่ปี 1910 เมื่อกลุ่มนายแบ้งค์แห่งวอลล์สตรีทไปรวมหัวกันอย่างลับๆที่ Jekyll Island จอร์เจีย ..สรุปออกมาได้ในปี 1913 เป็นกฏหมาย Federal Reserve Act ..เป็นการเริ่มของธนาคารกลางที่เป็นของเอกชน กลุ่มร้อธไชล์ด ...เปิดศักราชเริ่มมีเครื่องผลิตดอลล่าร์ของตนเองแล้ว
ปธน.วู้ดโรว์ วิลสันผู้ใกล้ตาย หลังเซ็นผ่านกฏหมาย Fed บอกว่า "ผมเป็นผู้ทำลายประเทศนี้อย่างงี่เง่าเอง ประเทศอุตสาหกรรมใหญ่แต่ต้องมาอยู่ใต้ระบบเครดิต ตั้งแต่นี้รัฐบาลจะอยู่ในมือคนเพียงไม่กี่คน ไม่มีรัฐบาลจากเสียงส่วนใหญ่อย่างแท้จริงอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของคนกลุ่มเดียวเท่านั้น"
อังกฤษมีธนาคารกลางอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ปี 1694 ซึ่งมันก็คุมโดยพวกร้อธไชล์ด ...ที่ปกติก็คุมธนาคารทั้งหมดอยู่แล้ว บารอนนาธาน ร้อธไชล์ดเคยพูดว่า หุ่นเชิดไหนจะมานั่งบัลลังก์ของจักรวรรดิ์ของอังกฤษก็ได้ แต่คนที่ควบคุมปริมาณเงินของอังกฤษนี่แหละที่จะปกครองจักรวรรดิ์ ...สิ่งที่บารอนพูดเมื่อ 320 ปีก่อนยังคงเป็นจริงอยู่ในทุกวันนี้
มาตรฐานทองคำที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1944 (1oz = $35) ตามสัญญา Bretton Woods ..ที่มี IMF และ World Bank เป็นฝ่ายควบคุมระบบการเงินของโลกตะวันตก ยูเอสดอลล่าร์เป็นสกุลเงินที่ใช้อ้างอิงและเป็นเงินรีเสิร์ฟของทุกประเทศ ....Fed จึงสามารถพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้ตามต้องการเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐใช้ทำสงครามได้ทั่วโลก ทุกๆดอลล่าร์ที่พิมพ์ออกมาคือหนี้ (หรือใบ IOU) ....ทั้งหมดที่เพิ่มมา ไปอยู่ต่างประเทศทั้งนั้น..เพราะโลกต้องการใช้เป็นรีเสิร์ฟอยู่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เกิดเงินเฟ้อตลอดมาในทุกประเทศ
(John Connally รัฐมนตรีคลังยุคนิกสันเคยพูดในทีประชุม G-10 ที่โรมเมื่อปี 1971 ว่า "Dollar is our currency, but it's your problem"....ผู้แปล)
แต่มาตรฐานทองคำเริ่มมีปัญหาในช่วงปี 60s ....นิกสันจึงยกเลิกการอิงทองคำของดอลล่าร์ในปี 1971 ....เริ่มศักราชการใช้ Petrodollar
แต่มาถึงวันนี้ กระบวนทัศน์ (paradigm) แบบนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ..เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเงินรีเสิร์ฟของโลกเป็นดอลล่าร์ถึง 90% แต่วันนี้มันอยู่ที่ต่ำกว่า 60% และยังต่ำลงไปเรื่อยๆ ...แน่นอนที่ว่าตราบใดที่ค่าเงินดอลล่าร์ยังมีการจัดการปั่นกันอยู่ได้ มูลค่าของเงินรีเสิร์ฟก็ยังคงนิ่งอยู่ได้ แต่ถ้าเมื่อรีเสิร์ฟลดลงไปต่ำกว่า 50% อาจได้เห็นเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนทิศทางไปสู่ระบบการเงินทางเลือกใหม่ก็ได้
การเปลี่ยนแปลงเริ่มแล้ว จีน รัสเซีย และอีกหลายประเทศโลกตะวันออก เปลี่ยนเงินดอลล่าร์รีเสิร์ฟกันอย่างเงียบๆ ไปสู่หลักประกันอื่นๆ ...แนวคิดในอนาคตสำหรับการแบ้คค่าของระบบการเงิน อาจใช้ผลผลิตที่เกิดจากสังคมเศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็เป็นได้
ในสมัยของ ปธน.บุชผู้พ่อ (George H.W.) เขามีการทำข้อตกลงกับสหาย House of Saud ที่ยังคงเป็นผู้นำกลุ่ม OPEC ..ว่าตราบใดที่ OPEC ใช้เงินดอลล่าร์ในการค้าน้ำมัน ซาอุดิฯจะได้รับการคุ้มครองความมั่นคงจากสหรัฐ ..นี่ทำให้สหรัฐสามารถสร้างฐานทัพในซาอุดิฯได้อย่างเป็นซีรี่ส์เลย เพื่อใช้ควบคุมตะวันออกกลางทั้งบริเวณ สามารถสร้างสงครามแบบไม่รู้จบได้ ไม่ว่าจะกับเยเมนหรือซีเรีย
ด้วยเงื่อนไขการค้าน้ำมันของ OPEC ต่อชาวโลก ดอลล่าร์ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทุกดอลล์ที่พิมพ์ขึ้นคือหนี้ของสหรัฐ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะสหรัฐตั้งใจจะชักดาบหนี้ทั้งหมดนี้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น ...Alan Greenspan อดีตประธาน Fed เคยตอบนักข่าวว่า ..."เราจะไม่ชำระหนี้หรอก เพราะเรายังพิมพ์เงินใหม่ๆออกมาได้"...
คำตอบนี้คอนเฟิร์มได้เลยถึงหลักการของระบบ dollar based:.....คุณก่อปราสาททรายให้มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามันยังไม่ล้มก็ก่อสูงขึ้นไปอีก จนกระทั่ง...
แต่ตราบใดที่เงินดอลล่าร์ยังท่วมโลกอยู่นับร้อยล้านล้าน มันก็ไม่ยากที่จะเข้าไปปั่นค่าเงินของสกุลใดก็ตามหรือแม้กระทั่งราคาทองคำ เพราะยังมีธนาคารกลางของธนาคารกลางทั้งโลกอยู่ คือ Bank of International Settlement (BIS) ของร้อธไชล์ดที่จะมาช่วยจัดการให้ได้
เกือบทุกประเทศต่างก็ปรารถนาจะดิ้นให้หลุดจากระบบการเงินแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกตัวแรง เพราะจะต้องประสบกับการแซงค์ชั่น ..โดยเฉพาะในช่วงที่ยักษ์ใหญ่กำลังใกล้ตายแบบนี้ มันก็อยากจะลากเอาบริวารทั้งหลายลงหลุมตามไปด้วยให้ได้
วัฒนธรรมโลกตะวันตกอยู่บนพื้นฐานของความโลภและการรุกราน มันอยู่กับแนวคิดการแข่งขันมากกว่าการร่วมมือ ความขัดแย้งมากกว่าความสามัคคี มันทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร ...ไม่เป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งไม่ช้าก็เร็วมันก็จะต้องพังจนได้
ตั้งแต่ช่วงปี 1980s มาแล้ว รวมถึงมีตัวเร่งจากกรณี 9/11 ..สงครามที่สหรัฐก่อขึ้นใน 15-20 ปีมานี้..ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วถึง 12-15 ล้านคนทั่วโลก ..เป็นการหล่อเลี้ยง อุตสาหกรรมอาวุธ military complex ของสหรัฐ จนอุตสาหกรรมนี้และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกลายเป็นรายได้หลักของประเทศไปแล้ว
การสร้างความขัดแย้งและก่อสงครามกลายเป็นหลักประกันการอยู่รอดของสหรัฐไปแล้ว แล้วสักวันหนึ่งมันจะลามไปสู่ยุโรป ..การรุกรานและเข้าไปเปลี่ยนรัฐบาลของประเทศที่ไม่ใช่มิตร ตั้งแต่ตะวันออกกลางยันไปถึงเอเซียและละตินอเมริกา นี่จะเป็นงานเดียวที่ยังเหลืออยู่ของตะวันตก
ถ้าวงจรของระบบหนี้นับหลายล้านล้านดอลล่าร์มีอันต้องพังทลายลง เศรษฐกิจของโลกตะวันตกก็ต้องเจ๊งตาม
ถ้าโลกกลับไปสู่สันติภาพ ก็จะได้เวลาที่จะเปลี่ยนระบบการเงินของโลกเสียที อนาคตน่าจะสดใสขึ้น ...ระบบการโอนเงิน SWIFT ของตะวันตกก็กำลังถูกแซะจากฝ่ายตะวันออกแล้ว ที่ผ่านมา SWIFT นี่แหละที่ทำให้อิหร่านถูกกันออกจากระบบการโอนเงินของโลก..อาร์เจนติน่าก็ถูกแบล้คเมล์จากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกองทุนนอกกฏหมาย ...ระบบการโอนเงิน CIPS ของจีนเข้ามาใช้ทดแทนได้ในระดับนานาชาติ สำหรับประเทศที่ต้องการจะหลุดพ้นจากการควบคุมของตะวันตก ..แต่สื่อกระแสของตะวันตกก็ไม่เคยทำข่าวเรื่องนี้เลย.....
Peter Koenig is an economist, and water resources and environmental specialist. He has worked for over 30 years with the World Bank, the World Health Organization, and the Swiss Development Cooperation, in Africa, Middle East, Eastern Europe and Central Asia, East and South East Asia and Latin America. Peter is also a geopolitical analyst for Global Research, Information Clearing House, RT, PressTV, Sputnik, TeleSUR and The 4th Media, China. He is the author of Implosion – An Economic Thriller about War, Environmental Destruction and Corporate Greed – fiction based on 30 years of World Bank experience around the globe. He is a co-author of The World Order and Revolution! – Essays from the Resistance.
************
Globalization is the Demise of Humanity": Toward an "Economy of Peace" with an Alternative Monetary System
By Peter Koenig
Global Research, January 20, 2019
First published - 11 September 2016
In the western economic system, the US currency means everything for the US empire to fully dominate the world, its resources, people and finances. The US dollar has been created for this purpose. And so has the European Union and her single currency, the Euro. They are not the product of Europe, they are the deceitful construct of the CIA, a process begun shortly after WWII. In 1946 Winston Churchill proclaimed, [we must]re-create the European family, or as much of it as we can, and to provide it with a structure under which it can dwell in peace, in safety and in freedom. We must build a kind of United States of Europe.” He was then as Cameron and his successor, Theresa May, are today a mouthpiece for the United States, expressing Washington’s ideas as a Trojan horse in Europe.
Some 240 years ago, the freemason founders of the United States of America duped the common US population and later the world with Big Words, like Democracy, Equality, Free Speech, and Justice for All – into believing that they are living in a free and just country. These ideals were just slogans stamped into the US Constitution, while the long-script is favouring a small privileged elite. For example, slavery existed already since early colonial days in British North America. It was legal at the time of US Independence in 1776. Instead of being abolished under the principles of Equality and Justice for All, it prevailed throughout the 18th and part of the 19th Century. Yet, the sham of a free America continues to this day, providing fertile ground for a predatory monetary system to lead a predatory world economy.
Today’s western debt-based monetary system is – but a foster child of the deceitful Constitution. It began in 1910, when a group of prominent Wall Street bankers travelled clandestinely to Jekyll Island, Georgia, on what they disguisingly called “The Duck Hunt”, where they concocted what in 1913 became the Federal Reserve Act. Thus, emerged the entirely privately owned, Rothschild dominated Federal Reserve system (FED), serving as the US Central Bank. It is the omnipotent dollar making machine.
After signing the FED Act into existence, then President Woodrow Wilson as a dying man declared, “I am a most unhappy man. I have unwittingly ruined my country. A great industrial nation is controlled by its system of credit. Our system of credit is concentrated. The growth of the nation, therefore, all our activities are in the hands of a few men. We have come to be one of the worst ruled, one of the most completely controlled and dominated Governments in the civilized world, no longer a Government by free opinion, no longer a Government by conviction and the vote of the majority, but a Government by the opinion and duress of a small group of dominant men.”
The Brits had already a central bank way back in 1694. It was then already controlled by the Rothschild family, as was the entire banking system. Baron Nathan Mayer Rothschild once declared: “I care not what puppet is placed upon the throne of England to rule the Empire on which the sun never sets. The man that controls Britain’s money supply controls the British Empire, and I control the British money supply.” What the Baron may have said some 320 years ago, still holds true to this day.
When Nixon in 1971 abandoned the gold standard (one troy-ounce of gold = US$35), essentially created by the Bretton Woods institutions, the IMF and the World Bank, to control the western monetary system – the US dollar became de facto the world’s currency of reference and by implication the world’s reserve currency. This Machiavellian move allowed the FED to print dollars as needed to fund US / NATO instigated conflicts and wars, as well as propaganda to sell the wars around the globe. Every new dollar was a dollar of debt, most of them externalised, since the world held them in their reserve coffers.
The good news is that the paradigm is changing rapidly. When twenty years ago about 90% of worldwide reserves were kept in dollar-denominated securities, today this figure is below 60% and falling. Of course, as long as the value of currencies can be manipulated, the value of dollar reserves is relative. However, the trend is clear. Slipping below 50% may be the beginning of a sea change in world economy, giving rise to alternative monetary systems.
The shift has already started. China, Russia and other eastern countries are quietly divesting their dollar reserves into securities of other denominations. The idea for the future is to back monetary systems, funds circulating and released by central banks, by actual socio-economic outputs of a nation, including social and environmental achievements, such as public health, education, protection and conservation of natural resources, as well as a sovereign’s ability of internal and external conflict resolution.
China, Russia and other eastern countries are quietly divesting their dollar reserves into securities of other denominations. The idea for the future is to back monetary systems, funds circulating and released by central banks, by actual socio-economic outputs of a nation.
Simultaneously with the end of the “gold standard”, the limitless dollar production was further facilitated by Father Bush (George H. W.). He negotiated with the House of Saud – his friends – to remain at the head of OPEC, as long as Saudi Arabia would assure that hydrocarbons would never be traded in currencies other than the US-dollar. In return, the US would guarantee the Saudis’ security. Done deal. It allowed the US to establish a series of US bases in Saudi Arabia, with which to control the Middle East and surrounding areas and to carry on wars and proxy conflicts, destroying Yemen and Syria, killing and maiming hundreds of thousands of civilians, women and children. The Saudis, Qatar and other Gulf vassals were also coopted into funding the US-created NATO ground troops in Syria, Iraq and Libya, namely the “terror” organisation, and Islamic State (IS-ISIS-Daesh).
Under this OPEC arrangement with the Saudis, the demand for US-dollars increased almost exponentially. Every dollar created means new US debt. This is irrelevant, since US debt was never meant to be paid off. Alan Greenspan, former chief of the FED once answered a journalist’s question on how the US was ever able to repay her debt, “We never will pay our debt, since we can just print new money.” This confirms the pyramid principle of the dollar based monetary system: You create dollars as debt which bears interest which you pay by new debt. In other words: Never; creating an endlessly growing and ever shakier house of cards – until it collapses, and collapse it will.
Greece is a typical showcase, strangled into misery by a rigged monetary system. Similar criminal deeds emanating from the dollar denominated worldwide “Ponzi” scheme, are “sanctions”, punishing countries that do not submit to the tyrannical dominance of the empire, blocking trade, confiscating assets, foreign currency accounts – and more. This is possible, because the US dollar scam-currency still dominates international trade. As long as hundreds of trillions of dollars are flooding the globe, it is possible to manipulate the value of any currency, including gold. The secretive Basle-based BIS (Bank for International Settlement), also called the central bank of central banks, entirely privately owned and controlled by Rothschild and Co, is best suited for such manipulations.
No wonder, breaking loose from this abusive monetary scheme is number one priority of most countries that treasure sovereignty, autonomy and freedom, though many do not dare say so openly, lest the empire lashes out at them punishing them with the very financial terror they want to escape from – illegal economic sanctions. And lashing out at the unaligned nations the empire does, like a dying beast, attempting to pull with it much of the living world into its own shoveled grave.
The western culture is based on aggressive, greed driven mono-theistic Judo-Christianism. It foments constant competition instead of cooperation, conflict instead of harmony, supremacy instead of solidarity. It thrives on a constant growth fetish which flourishes on extreme consumerism – it plunders mercilessly the earth’s natural resources, representing an unsustainable marauder economy, bound to implode rather sooner than later.
Since the ascent of neoliberalism in the 1980s, exacerbated by the auto-coup 9/11, the Washington-declared war on terror has killed an estimated 12 to 15 million people around the globe in the last 15 to 20 years. It has also fed and fueled the US military-security complex that by now accounts for a majority of the US economic output, including associated industries and services.
Wars and conflicts have become Washington’s guarantee of survival. The US economy could not survive without the military industrial complex unlimited amounts of dollars that finances them. This war dependency and tool for dominance used by world financiers may soon spread to Europe. Aggressions by “regime change” of every “unaligned” government, US/NATO military invasions, or mercenary wars, from the Middle East, through Asia, Latin America and Europe abound. They are enhanced by western organised false flag “terror” attacks, gradually reaching around the globe, sacrificing the lives of western governments’ own citizens, with the purpose of spreading fear. Since history remembers, fear is the weapon of dictators to subdue people, countries and eventually entire continents. The very useful culprits are invariably Islamic “jihadists”, who hate the west. The ultimate goal is to complete militarisation of Europe, US and eventually the world. People under Martial Law can be controlled and manipulated.
The US economy could not survive without the military industrial complex unlimited amounts of dollars that finances them.
If the multi-trillion-dollar cycle of debt-interest-debt is broken, the western economy is dead. The war on Iraq and the murder of Washington’s long-time ally, Saddam Hussein, was foremost a currency war. At the end of the 1990’s “sanctions” upon Iraq for its western provoked attack on Kuwait, Saddam planned to sell Iraq’s hydrocarbons, at that time the world’s second largest known source, for Euros and later for the “Gold Dinar”, Libya’s new gold-backed currency; the very currency with which Mohammed Gaddafi intended to free Africa from the voracious fangs of the west. Gaddafi wanted to gradually introduce the Gold Dinar as a common (reserve) currency in Africa. He also planned to bring low cost mobile telecommunication to Africa, thereby foregoing European and US phone monopolies’ insane profits reaped off the African people. Therefore, Gaddafi and Libya also had to go.
Iran was falsely accused as a nuclear threat, even when the 16 most prominent US secret services said that Iran had no intentions of producing nuclear weapons. It was again the dollar that was at stake. In 2007 Iran was about to launch the Teheran Oil Bourse, where hydrocarbons could have been traded in Euros, instead of dollars, an idea many oil producers cherished. Imagine, the trillions of dollars lost to the empire; dollars required by Washington’s proxy government to sustain its supremacy around the world. Iran, Iraq, Libya, Syria, Sudan, Chad, Afghanistan and more Middle-Eastern and North-African countries were already condemned to fall under the Zionist-neocon fabricated PNAC (Plan for a New American Century). However, the “oil bourse” and what it would have meant for the decline of the dollar, triggered the nuclear pretext for illegal “sanctions” and economic attacks on Iran.
To return to peace, it is high time for the world to move to an alternative monetary system. A new future is dawning. SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication), the western privately-owned and Wall Street dominated international transfer system is being disbanded by the East. SWIFT makes it possible that Iran can be excluded from receiving and making monetary transfers, and that Argentina can be blackmailed into acceding to the US-based Vulture funds demanding US$4 billion of UN-declared illegal debt. SWIFT is being replaced by the Chinese CIPS which can be rolled out internationally and made available to countries that would like to disconnect from western control. Western media are silent about the emerging change, lest it might help awaken the slumbering oppressed masses.
The only reason BREXIT may have a negative impact, is if the powers that control the dollar-economy – the minute elite of less than 1% – manage to fabricate another crisis in Europe and accuse BREXIT for it.
BREXIT, if allowed to happen, might put an avalanche of international discontent in motion. But BREXIT is under tremendous pressure not to happen by Washington and its European vassals, as it puts dollar hegemony on the brink. The IMF has started a lie and manipulation campaign falsely – and ridiculously – predicting BREXIT may jeopardise the world economy. There are no reasons or explanations given whatsoever for such nonsense. People have to blindly believe the authorities (sic) of the International Monetary Fund. The only reason BREXIT may have a negative impact, is if the powers that control the dollar-economy – the minute elite of less than 1% – manage to fabricate another crisis in Europe and accuse BREXIT for it. This is entirely possible. The criminals controlling the mendacious “system” know no scruples in oppressing and enslaving the world.
The British voters’ preference for LEAVE, is giving rise to higher aspirations – EUREXIT, a challenge already in the crosshairs of several EU countries’ populations – though not necessarily shared by their undemocratic puppet governments – including Austria, Sweden, Denmark, Hungary, the Czech Republic, Slovakia, Poland – and the list goes on. An alternative economic and monetary model is already available and being launched.
“Economy of Resistance” counters neo-fascist globalisation imposed around the world by the west. This for our times revolutionary concept, though not new, is already successfully applied by Russia and Iran, using local banking and local money to promoting local capacities and resources to replace imports by building internal production facilities, creating labour, scientific research and adding in-country value.Resistance Economy may effectively defeat the dollar hegemony and western economy of war, destruction and assassinations, replacing it with an economy of equal opportunities, justice and peace.
Peter Koenig is an economist, and water resources and environmental specialist. He has worked for over 30 years with the World Bank, the World Health Organization, and the Swiss Development Cooperation, in Africa, Middle East, Eastern Europe and Central Asia, East and South East Asia and Latin America. Peter is also a geopolitical analyst for Global Research, Information Clearing House, RT, PressTV, Sputnik, TeleSUR and The 4th Media, China. He is the author of Implosion – An Economic Thriller about War, Environmental Destruction and Corporate Greed – fiction based on 30 years of World Bank experience around the globe. He is a co-author of The World Order and Revolution! – Essays from the Resistance.
Cr.Sayan Rujiramora
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/