ระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินโลกกำลังมาถึงจุดที่ไม่สามารถขับดันการเติบโตของเศรษฐกิจได้อีกต่อไปแล้ว สาเหตุที่เรากำลังจะเผชิญนั้นมาจากนโยบายทางการเงินของระบบธนาคารกลางของประเทศขนาดใหญ่ทั่วโลก หลังจากเหตุการณ์ปี 2008 กับการเกิด Hamburger Crisis
และตามมาด้วย Euro Crisis ในปี 2010 และ 2012 ธนาคารกลางของประเทศขนาดใหญ่ทั่วโลก ได้แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ด้วยนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน หรือ อธิบายอย่างง่ายๆก็คือ การพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จากนโยบายดังกล่าว กลับกลายเป็นการแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่า คือการนำโลกเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ ที่ใหญ่ที่สุดพร้อมๆกันถึง 4 ลูก และ กำลังจะดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกไม่ได้อีกแล้ว
ฟองสบู่ในตราสารทางการเงินทั้ง 4 ลูกประกอบไปด้วย
1. ฟองสบู่ในตราสารหนี้
2. ฟองสบู่ในตลาดหุ้น
3. ฟองสบู่ในตลาดตราสารอนุพันธ์
4. ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
Graham Summers มีตำแหน่งเป็น Chief Market Strategist ของ Phoenix Capital Research ได้ทำข้อสรุปในสถานการณ์ปัจจุบันไว้ได้อย่างน่าสนว่า ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้คือ
– ปัญหาที่แท้จริงของระบบการเงินของโลกคือ การเกิดฟองสบู่ในตลาดตราสารหนี้ โดยในปี 2008 ที่เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ตราสารหนี้มีมูลค่า $80 ล้านล้าน แต่ปัจจุบันมีการเติบโตมากกว่า $100 ล้านล้าน
– ตลาดตราสารอนุพันธ์ ที่เป็นหลักประกันของตราสารหนี้ที่กำลังเป็นฟองสบู่ในขณะนี้ มีมูลค่ามากว่า $555 ล้านล้าน ที่อ้างอิงกับ ตลาดตราสารหนี้
– บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จำนวนมาก , กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ และบรรดามลรัฐต่างๆ ได้มีการใช้ตราสารอนุพันธ์ เพื่อตกแต่งรายได้ และซ่อนหนี้สินของบริษัท ไม่มีใครรู้ได้ว่าระดับความเสี่ยงมีขนาดเท่าไรในแต่ละกรณี แต่สามารถให้คำตอบได้ว่า 20% ของ CFOs ได้ยอมรับว่า ได้มีการตกแต่งรายได้ของบริษัทในช่วงเวลาที่ผ่านมา
– บริษัทต่างๆ ในวันนี้ ได้มีการ leveraged หนี้สินต่อทุนขึ้นไปสูงกว่า ปี 2007 (ผมเห็นว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นทั่วโลก) และขณะนี้บริษัท Credit Rating ได้ลดระดับ Rating บริษัทในสหรัฐจำนวนมาก ลงสู่ระดับ Junk bond ซึ่งมีความเลวร้ายมากกว่าปี 2008
– ธนาคารกลาง (The Central Banks) หลายแห่งได้มีการ leveraged หนี้สินต่อทุนขึ้นไปสูงมาก และมากกว่า Lehman Brothers ที่มีการระเบิดออกมาจากข้างใน เช่น
• Fed ได้ leveraged ที่ 78 to 1.
• ECB ได้ leveraged มากกว่า 26 to 1.
ขณะที่ Lehman Brothers ล้มละลายมีการ leveraged ที่ 30 to 1
– ธนาคารกลาง (The Central Banks) ได้หมดซึ่งยุทธวิธี ที่จะออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะ FED ที่มี Fed’s balance sheet จาก $ 1.3 ล้านล้าน เพิ่มขึ้นมากกว่า $4.5 ล้านล้าน ในปัจจุบัน
– วันนี้ ธนาคารกลาง (The Central Banks) ได้ดำเนินนโยบาย ผลักความเสี่ยง ไปสู่ผู้ฝากเงินกับธนาคารและผู้ลงทุนในตลาดพันธบัตรและตราสารหนี้ (Bond) ด้วยนโยบายดอกเบี้ยติดลบ ซึ่งเท่ากับว่า ผู้ฝากเงินและนักลงทุนกลายเป็นผู้ที่ต้องจ่ายผลตอบแทนในการฝากเงินและลงทุนในพันธบัตร
– ทั่วโลกขณะนี้ มีอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนจากตลาดพันธบัตรสูงถึง $13 ล้านล้าน เป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของพันธบัตรทั่วโลก
ซึ่ง Bill Gross ผู้จัดการกองทุนพันธบัตรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกได้แสดงความเห็นไว้ว่า การที่พันธบัตรทั่วโลกมีผลตอบแทนที่ ติดลบ ผลของมันจะระเบิดออกมาในระดับ Super Nova ในอีกไม่นาน
โดยในวันนี้สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ธนาคารกลางจีนและธนาคารกลางประเทศญี่ปุ่นได้มีการเทขายพันธบัตรของอเมริกาออกมาในปริมาณมหาศาลแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
http://www.bloomberg.com/news/articles/2016-09-25/u-s-bond-market-s-biggest-buyers-are-selling-like-never-before
หากมีการเทขายพันธบัตรและเงินสกุลดอลล่าร์ออกมาอย่างหนักและต่อเนื่อง เงินจะไหลกลับไปที่อเมริกาโดยตรง โดยเช้ามีมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเงินดอลล่าร์ ทำให้มองเห็น..Currency War รอบใหม่ได้เริ่มอีกแล้ว
เมื่อเงินไหลกลับไปอเมริกาปริมาณเงินจะท่วมประเทศ นี่คืออีก 1 ใน 6 เหตุผลที่ FED ไม่มีวันจะขึ้นดอกเบี้ยอ้างอิงได้ แต่จากคำพูดของประธาน FED เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว FED ได้รับรู้ถึงการเกิด Asset Bubble ทั่วโลก คำพูดระหว่างบรรทัดที่จับใจความได้คือ...FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยทันทีที่เกิดการแตกของ Asset Bubble เพราะจะทำให้วิกฤติครั้งนี้รุนแรงมากยิ่งขึ้นและจะรุนแรงในระดับ Super Nova เมื่อเงินไหลกลับไปอเมริกา จะทำให้เกิดภาวะ Deflation ประมาณ 1-3 ปี แล้วจะนำไปสู่การเกิด Hyper Inflation ในที่สุด สิ่งที่ตลาดไม่เคยรู้กันเลยคือ เมื่อ Q1 ที่ผ่านมา เงินอัดฉีดเข้าระบบ ทุกๆ 10 ดอลล่าร์สามารถขับดัน GDP ได้ 1 ดอลล่าร์ และเมื่อ ECB ออกนโยบายอัดเงินมหาศาลเข้าระบบถึง 80,000 ล้านยูโร ต่อ เดือน แต่เงิน 18 ยูโร กลับ ขับดันการเติบโตได้เพียง 1 ยูโร
เงินที่ล้นระบบไม่สามารถขับดันเศรษฐกิจได้อีกแล้ว และ...เงินสกุลหลักกำลัง..เสื่อมค่า..อย่างรวดเร็ว คำถาม..ตัวใหญ่..ถึงธนาคารกลางทั่วโลกคือ.. เมื่อเงินดอล่าร์กำลังเสื่อมค่าอย่างรวดเร็ว....เงินดอลล่าร์คือเงินที่หนุนหลังการพิมพ์เงินของทุกประเทศ ผู้ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะรับมือกันอย่างไร ธนาคารกลางทั่วโลกมีแค่ 2 ทางเลือก
1. เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติที่ใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ
2 .ปรับตัวและนโยบาย...เพื่อรับมือ...???
http://www.zerohedge.com/news/2016-09-24/hell-pay-final-condition-market-crash-falling-place
หากท่าน..เห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ช่วยกันแชร์ออกไปให้มากที่สุด เพราะ This is Crisis. The Greatest Crisis in the History of mankind.
ปล.บทความนี้ เป็นจินตนาการไม่สามารถนำไปอ้างอิงใดๆได้ การก็อปปี้ไปทำมาหากินโดยไม่ขออนุญาติสะท้อนถึงวุฒิภาวะทางสติปัญญาและการอบรบสั่งสอนของครอบครัว
ทวีสุข ธรรมศักดิ์
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
Line ID:@fxhanuman