จากการวิเคราะห์ของนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ในบทสัมภาษณ์กับ ประชาชาติธุรกิจ, เขาได้กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศภายใต้ผลกระทบจากการเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ และมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งแนวโน้มในช่วงไตรมาส 3 และ 4/2567 ของตลาดหุ้นไทย:
-
ทรัมป์เอฟเฟ็กต์: นายไพบูลย์คาดการณ์ว่าหุ้นสหรัฐจะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทรัมป์มีประสบการณ์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้น รวมถึงนโยบายลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลกำไรของธุรกิจในสหรัฐ นอกจากนี้ มาตรการอื่น ๆ ของทรัมป์ เช่น การเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายนี้ว่ามีแค่การขู่หรือจะเป็นจริง
-
หุ้นไทยรอลุ้นมาตรการกระตุ้น: หุ้นไทยในช่วงนี้ดูเหมือนจะไม่มีแรงกระตุ้นที่ชัดเจนในการปรับตัวขึ้น โดยผลประกอบการในไตรมาส 3/2567 ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ยังไม่ดีนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถูกกดดันจากการลดลงของราคาน้ำมันและปัญหาในอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งส่งผลให้หุ้นไทยไม่มีแรงดึงดูดจากการเติบโตของกำไร นอกจากนี้ ภาคการเงินยังคงตั้งสำรองสูง ซึ่งทำให้บรรยากาศการลงทุนดูเงียบเหงา
-
ลุ้นผลประกอบการ Q3/2567: นายไพบูลย์มองว่าในไตรมาส 4/2567 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภค และการแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีภาคธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการแก้ไขหนี้
-
กระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน: ในแง่ของเศรษฐกิจจีน นายไพบูลย์คาดการณ์ว่าจีนจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและใช้เม็ดเงินมากขึ้น เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการสงครามการค้าและภาษีที่สหรัฐอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยเนื่องจากผลพลอยได้จากสงครามการค้า (Trade War)
โดยรวม คำแนะนำของนายไพบูลย์คือการจับตาหมวดหมู่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภค ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตในระยะต่อไป แม้ว่าผลประกอบการของบางกลุ่มในไตรมาส 3 อาจยังไม่ค่อยดีนัก
ทิศทางการไหลของเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ในตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ไทย มีการพูดถึงหลายปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของฟันด์โฟลว์ รวมทั้งโอกาสที่เงินทุนจะไหลกลับเข้ามาในตลาดไทยในอนาคต:
-
เศรษฐกิจไทยและความมั่นคงทางการเมือง: ปัจจัยที่สำคัญในการดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยสามารถกลับไปโตที่ระดับ 3% ในปี 2568 และความนิ่งของสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต่างชาติต้องการเห็น เพื่อความมั่นใจในการลงทุน
-
ทิศทางดอกเบี้ยของเฟด: การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าจะส่งผลบวกต่อภาพรวมของตลาดหุ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคตลาดเกิดใหม่เช่นตลาดในไทยด้วย
-
ปัจจัย Trump Trade: หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง การดำเนินนโยบายที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐ รวมถึงการตั้งกำแพงภาษีและการลดภาษีนิติบุคคลจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นในสหรัฐที่ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นนี้ แต่นโยบายเหล่านี้อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปและจีนได้รับความเสี่ยงสูงขึ้น
-
ฟันด์โฟลว์ในตลาดหุ้นไทย: จากมุมมองของนักกลยุทธ์ในตลาดหุ้นไทย ระบุว่าฟันด์โฟลว์ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเป็นการไหลออกมากกว่าการไหลกลับ เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนค่าและสหรัฐมีการลดดอกเบี้ยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกที่จะลงทุนในตลาดสหรัฐมากกว่า
-
ตลาดหุ้นอินเดีย: ตลาดหุ้นอินเดียคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งของทรัมป์ เนื่องจากอินเดียไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งหลักของสหรัฐ และการดำเนินนโยบายภายในประเทศสหรัฐจะไม่กระทบต่ออินเดียอย่างหนัก
สรุปแล้ว การไหลของฟันด์โฟลว์กลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยในปีนี้ค่อนข้างยาก เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความอ่อนค่าของเงินบาทและการเปลี่ยนแปลงในนโยบายของสหรัฐที่ดึงดูดเงินทุนเข้าตลาดสหรัฐมากขึ้น แต่ในระยะยาว เงินทุนอาจกลับมาที่ไทยได้หากเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวและมีความมั่นคงทางการเมืองมากขึ้น
การคาดการณ์ราคาทองคำในปีหน้าโดย YLG มองว่า ทองคำจะสามารถแตะระดับ 50,000 บาทได้ เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่สนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว ถึงแม้ว่าจะมีการปรับฐานในระยะสั้น หลังจากการเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ราคาทองคำลดลงในช่วงนี้ แต่ยังคาดว่าในปี 2568 ราคาทองคำจะขึ้นไปถึง 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในตลาดต่างประเทศ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากหลายด้าน ได้แก่ การหยุดการสนับสนุนเงินยูเครน, การตั้งกำแพงภาษีที่ส่งผลต่อการถือครองเงินดอลลาร์, และการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในทองคำต่อไป
แม้ว่าราคาทองคำจะปรับตัวลดลงในช่วงระยะสั้น แต่ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาและการอ่อนค่าของเงินบาท ราคาทองคำในไทยจึงยังไม่ปรับตัวลงมากนัก และมีแนวรับที่ระดับ 2,600-2,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าซื้อทองคำ
Cr.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4yo