เหตุผลที่ 'จีน'อาจยังไปต่อได้ในปี 2018

หากมองย้อนหลังกว่า 10 ปีที่ผ่านมา "วิกฤติเศรษฐกิจจีน" จัดเป็น Top List ของปัจจัยเสี่ยงของการลงทุนมาโดยตลอด เคยขึ้นถึงอันดับ 1 เสียด้วยซ้ำในบางปี อาทิ ปี 2015 ที่ตลาดหุ้นจีนร่วงลงกว่า 30% จากเงินทุนของ ต่างชาติที่ไหลออก

จนกระเทือนไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ส่วนหนึ่งเนื่องจากความกังวลเรื่องการลดค่าเงินหยวน การชะลอนโยบายการยกเลิกผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐ และความกังวลประเด็นเงินฝืด ทั่วโลก อีกทั้งทางการจีนได้แทรกแซงตลาดหุ้นจีน ทำให้ตลาดหุ้นจีนในช่วงนั้นบิดเบือนเป็นอย่างมาก ที่สำคัญกระแสการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยทั่วประเทศของจีนต่อตลาดหุ้นจีนที่มีอยู่สูงสุดในช่วงนั้น

อย่างไรก็ดี ด้วยความเก๋าของผู้นำและ เม็ดเงินที่มีอยู่อย่างมหาศาลของรัฐบาลทำให้จนถึงวันนี้ ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจของจีนก็ยังไม่ได้กลายมาเป็นวิกฤติแบบเป็นทางการ ปี 2018 ก็เป็นอีกปีที่จีนอยู่ในเรดาร์ในมุมของความเสี่ยงอีกเช่นกัน แม้จะไม่ได้ เป็นอันดับ 1 ทว่าเมื่อ Trade War เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น ค่าเงินหยวนที่เริ่มอ่อนค่าลงแบบชัดเจนกว่าในอดีต ก็เริ่มถูกจับตาว่าจะกลายเป็นชนวนของวิกฤติของจีนหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าการอ่อนค่าของเงินหยวนนั้น อาจถูกมองได้ว่าเป็นทั้งความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนเองจนนักลงทุนต่างชาติผวา หรือเป็นจากการที่ทางการจีนตั้งใจที่จะให้เงินหยวนอ่อนตัว เพื่อรองรับการตั้งกำแพงภาษีสินค้าส่งออกจีนของสหรัฐ

เราขอให้เวลาอีกเล็กน้อยเป็นตัวชี้ว่าแท้จริงแล้ว จะเป็นมาจากปัจจัยแรกหรือปัจจัยหลัง โดยในบทความนี้จะขอโฟกัสไปที่ตัวเศรษฐกิจของจีนเองว่าเสี่ยงต่อวิกฤติมากน้อยแค่ไหน ในมิติแรก เศรษฐกิจจีนในตอนนี้ไม่ได้ชะลอตัวเร็วเท่ากับในช่วงปี 2015 การลดลงของอุปสงค์จีนใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา มิได้ส่งสัญญาณว่าการลงทุนที่ลดลงมากนัก ในส่วนของยอดขายจากด้านค้าปลีกมาจากการส่งสัญญาณขึ้นกำแพงภาษีของรัฐบาลจีนเพื่อตอบโต้ต่อมาตรการ Trade War ของสหรัฐ นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นและตลาดแรงงานของจีนยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม

ในขณะเดียวกัน การชะลอตัวลงของการลงทุนสินค้าทุน โดยส่วนใหญ่มาจากการหดตัวของ Shadow Banking ที่รัฐบาลจีนตั้งใจที่จะลดขนาดและควบคุมอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็ชะลอตัวลงมากพอสมควร เพื่อต้อนรับมาตรการด้านการคลังที่ผ่อนคลายซึ่งจะประกาศในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของจีนภายใต้การควบคุมจังหวะของ อี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนท่านใหม่ ที่ถนัดในการบริหารจัดการสำรองเงินตราระหว่างประเทศ รวมถึงการใช้มาตรการต่างๆ ผ่านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายตามสไตล์ของจีน เพื่อรองรับและชดเชยผลกระทบของ Trade War ที่คาดว่าจะรุนแรงจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อให้การเติบโตของจีดีพีจีนยังสูงกว่า 6.5-7%

ทั้งนี้ โกลด์แมน ซัคส์ ได้คำนวณดัชนีสภาวะทางการเงินของจีน ที่รวมถึงอัตราดอกเบี้ย สินเชื่อ และการเติบโตของเงิน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยด้านเครดิต ระดับราคาของสินทรัพย์ และอัตราแลกเปลี่ยน ปรากฏว่าดัชนีสภาวะทางการเงินของจีนในตอนนี้ ยังตึงตัวกว่าเมื่อ 18 เดือนก่อน ราว 3% ซึ่งสามารถอธิบายว่าเหตุใดอุปสงค์ในประเทศจีนจึงชะลอตัวลง โดยดัชนีดังกล่าว คาดว่าจะผ่อนคลายลงในปีนี้ หากพิจารณาในมิติด้านการลงทุนของจีนที่มักจะมองว่าเป็นปัจจัยที่อาจจะเป็นชนวนให้เกิดวิกฤติได้ เนื่องจากการลงทุนของจีนเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีอัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่สูงกว่า 200% เนื่องจากทางการจีนเร่งการก่อหนี้เพื่อใช้ลงทุนหลังช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2009 ไว้เป็นหมากเพื่อต้านการชะลอตัวของการส่งออก ที่เป็นตัวหลักที่ส่งเสริมการเติบโตของจีดีพีจีนในช่วง 10 กว่าปีก่อน

ล่าสุด สัดส่วนการลงทุนของจีนก็ยังไม่ได้ลดลงไปกว่า 10 ปีก่อนแบบมีนัยสำคัญ โดยยังคงสูงอยู่โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% เทียบกับจีดีพี

อย่างไรก็ดี มีข่าวดีที่ว่า ณ วันนี้ แม้การลงทุนของจีนยังคงคิดเป็น สัดส่วนที่สูงอยู่เมื่อเทียบกับจีดีพี ทว่าอุปสงค์ของสินค้าและบริการของเศรษฐกิจจีนกลับพึ่งพาปัจจัยการลงทุนน้อยลงเป็นอย่างมาก นั่นคือ เศรษฐกิจจีนมิได้รับผลกระทบ มากนัก หากการลงทุนของจีนลดลงจากกระบวนการ Deleveraging ที่น่าจะเริ่มขึ้น ในเร็ววัน

ด้วยความที่จีนยังอยู่ในบรรยากาศ Trade War กับสหรัฐ ทางการจีนน่าจะยังออกนโยบายเศรษฐกิจอยู่ในโหมดผ่อนคลาย ทำให้โอกาสของวิกฤติจีนในช่วงนี้ถือว่าลดลงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อยครับ

คอลัมน์ มุมคิดมหภาค: ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/645268 

Source: กรุงเทพธุรกิจ

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"