บริษัทสหรัฐยังครองตำแหน่งผู้นำมูลค่าตลาดตลาดโลก ขณะที่บริษัทจดทะเบียนจีนตามมาติด ๆ เป็นอันดับที่ 2 โดย "ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส" (พีดับเบิลยูซี)เผยมูลค่าตลาดของ 100 บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกประจำปีนี้
เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะ 20 ล้านล้านดอลลาร์ พบอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และสินค้าผู้บริโภค มีมูลค่าตลาดเติบโตสูงสุด ขณะที่มูลค่าตลาดของตลาดหุ้นไทย พีดับเบิลยูซีมองว่า ยังคงมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว หลังมีพัฒนาการทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ
บุญเลิศ กมลชนกกุล หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานลูกค้าและตลาดบริษัท พีดับเบิลยูซี ประเทศไทย กล่าวถึงรายงาน Global Top 100 companies by market capitalisation ของพีดับเบิลยูซี ที่ทำการวิเคราะห์ 100 อันดับบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มูลค่าตลาด) สูงสุดของโลกว่า มูลค่าตลาดรวม ของ 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลก ณ 31 มี.ค. 2516 อยู่ที่ 20.035 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.597 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 15% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของมูลค่าตลาดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 12%
48% ของมูลค่าตลาด 100 บริษัทขนาดใหญ่ของโลกที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมานั้น เพราะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เห็นสัญญาณของการเติบโตอย่างมาก ขณะที่มูลค่าตลาดของบริษัทจากฝั่งยุโรปก็เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 2 แต่ส่วนแบ่งการตลาดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
รายงานระบุว่า เกินกว่าครึ่งของ 100 อันดับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดของโลกเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน (หรือ 54 บริษัท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 55 บริษัท) ซึ่งนับเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยคิดเป็น 61% ของมูลค่าตลาดรวม ลดลงจาก 63% ในปีที่แล้ว
สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ามูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงที่สุด 3 อันดับแรกจาก 100 อันดับ บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ของโลก ณ 31 มี.ค. ได้แก่ อันดับที่ 1 อเมซอน โดยมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 2.78 แสนล้าน ดอลลาร์ หรือ 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อันดับที่ 2 และ 3 เป็นบริษัทสัญชาติจีน ได้แก่ เทนเซ็นต์ มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 2.24 แสนล้าน ดอลลาร์ หรือ 82% และ อาลีบาบา มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 2.01 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 75% ตามลำดับ ขณะที่บริษัทที่มีมูลค่ามูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นสูงที่สุด 3 อันดับถัดมา ล้วนเป็นบริษัทจดทะเบียนจากสหรัฐ ได้แก่ ไมโครซอฟท์ อัลฟาเบท และ แอ๊ปเปิ้ล
อย่างไรก็ดี แอ๊ปเปิ้ล ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่อันดับที่ 1 ของโลกเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน แม้ว่ามูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอันดับที่ 6 ของโลกก็ตาม ขณะที่อันดับที่ 2 ได้แก่ อัลฟาเบท บริษัทแม่ของกูเกิล ซึ่งช่องว่างของมูลค่าตลาดระหว่าง อัลฟาเบท กับ แอ๊ปเปิ้ลนั้น ยังค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ โดย ณ 31 มี.ค. ส่วนต่างระหว่างมูลค่าตลาดของทั้งสองบริษัทลดลง 25% เหลือ 1.32 แสนล้าน ดอลลาร์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 1.75 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ รายงานยังระบุด้วยว่า แอ๊ปเปิ้ล เป็นบริษัทที่มีมูลค่าการจ่ายคืนผู้ถือหุ้นสูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในโลก เห็นได้จากการจ่ายปันผลและการซื้อหุ้นคืนใน ปีที่ผ่านมา ถึง 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ เจพี มอร์แกน เชส มีการจ่ายคืนผู้ถือหุ้นสูงเป็นอันดับที่ 2 ด้วยมูลค่า 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อน เมื่อพิจารณาตามรายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 1 โดยนำหน้ากลุ่มการเงินติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ตามด้วยกลุ่มสินค้าผู้บริโภค ในส่วนของบริษัทชั้นนำของโลก 3 อันดับแรก เป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล อัลฟาเบท และไมโครซอฟท์ ขณะที่ เทนเซ็นต์ อยู่ในอันดับที่ 5 และเฟซบุ๊ค รั้งอันดับที่ 8 โดยตกจากอันดับที่ 6 เมื่อปีที่แล้ว
ในส่วนของบริษัทยุโรปนั้น ได้รับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เห็นได้จากความผันผวนของมูลค่าตลาดมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บริษัทในยุโรปเห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยมีจำนวนของบริษัทยุโรปที่ติดอันดับ 100 บริษัทแรกเพิ่มจาก 22 เป็น 23 บริษัท หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นถึง 3.31 แสนล้านดอลลาร์ แต่แม้จะเห็นการปรับตัวดีขึ้น จำนวนบริษัทยุโรปที่ติดอันดับก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2553 ที่เคยมีบริษัทติด 100 อันดับแรกถึง 33 บริษัท ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้นั้น ไม่เปลี่ยนแปลงจาก ปีที่แล้วที่ 17% และลดลงจาก 27% ในปี 2552
รายงานของพีดับเบิลยูซี ชี้ว่า มูลค่าตลาดของบริษัทจากจีนใน 100 อันดับแรกของโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 57% เปรียบเทียบกับปีก่อน โดยมีบริษัทสัญชาติจีนถึง 12 บริษัทที่ติดอันดับในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 10 บริษัทในปีที่ผ่านมา และยังมีบริษัทจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนอีก 2 บริษัทด้วย เพิ่มขึ้นจาก 1 บริษัทในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เทนเซ็นต์ ยังเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของจีนติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ในปีนี้ และสูงเป็นอันดับที่ 2 รองจากอเมซอน โดยมีมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นถึง 82% เป็น 4.96 แสนล้านดอลลาร์ ตามด้วยอาลีบาบา ในอันดับที่ 3 (บริษัทอันดับที่ 2 ของจีน) โดยมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 75% เป็น 4.7 แสนล้านดอลลาร์ การเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งนี้ยังช่วยผลักดันให้ทั้งสองบริษัท ติดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุด ในโลก 10 อันดับแรกโดย เทนเซ็นต์ อยู่ในอันดับที่ 5 และ อาลีบาบาอยู่ในอันดับที่ 7
รอส ฮันเตอร์ หัวหน้าศูนย์ การขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) และหุ้นส่วนของพีดับเบิลยูซี สหราชอาณาจักร กล่าวว่าลักษณะที่ โดดเด่นของตัวเลขในปีนี้คือ การเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของมูลค่าตลาดของบริษัทชั้นนำจากจีน
"จะเห็นว่า หลายปีที่ผ่านมา บริษัทอเมริกันเป็นผู้ขยายอาณาเขตทางธุรกิจไปทั่วโลก โดยมีความพร้อมทั้งในด้านของความเข้มแข็งทางการเงิน บวกกับความ สามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทิ้งห่างบริษัทจากที่อื่นๆ ทั่วโลก แต่มาตอนนี้ บริษัทจีนกำลังขยายการเติบโต ไล่ไต่อันดับขึ้นมาติดๆ และประสบความสำเร็จไม่แพ้บริษัทจากสหรัฐ การที่บริษัทอย่างเทนเซ็นต์ และอาลีบาบา ติดบริษัท 10 อันดับแรกของโลก ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จนี้ได้อย่างชัดเจน"
ด้านบุญเลิศ กล่าวว่า ในส่วนของตลาดหุ้นไทย หากพิจารณาจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า ณ 31 มี.ค. มูลค่าตลาดของ SET และ mai อยู่ที่ 18.1 ล้านล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 15.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านล้านบาท หรือ 14.7% โดยบริษัทในกลุ่มบริการ มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ที่ 4.4 ล้านล้านบาท ตามด้วยอันดับที่ 2 กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรที่ 4 ล้านล้านบาท และอันดับที่ 3 กลุ่มธุรกิจการเงินที่ 2.9 ล้านล้านบาท
"เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 40 ปีที่ผ่านมา มีพัฒนาการที่เติบโตทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพอย่างต่อเนื่องไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจและกิจการของประเทศที่ก้าวหน้าขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดหุ้นไม่ได้กระจุกตัวอยู่เพียงบริษัทในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน หรือ สื่อสาร เหมือนเช่นในอดีต โดยบริษัทในกลุ่มบริการ ค้าปลีก สุขภาพ และ การท่องเที่ยว ได้กลายเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ขนาดของตลาดหุ้นไทยนั้น มีความหลากหลายและน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น สำหรับอนาคตต่อจากนี้"
บุญเลิศยังแนะว่า ต้องจับตาบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเวลานี้กำลังเป็น เทรนด์ของโลก โดยเชื่อว่า ด้วยแนวโน้มความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป น่าจะยิ่งผลักดันให้บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีและตลาดทุนโดยรวมของไทยยิ่งเติบโตกว่าในยุคก่อนๆ
Source: กรุงเทพธุรกิจ
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman