เจาะลึกถึงสภาพความเป็นจริงของ สหรัฐอเมริกา (United States)

เวลาที่ท้องฟ้า มืดครึ้ม ในเวลาที่มันไม่ควรจะมืด.. อากาศดูชื้นๆ กลิ่นดินกลิ่นหญ้า... โชยมาเตะจมูก ลักษณะแบบนี้คุณอาจจะพูดกับเพื่อนว่า …“ดูเหมือนฝนกำลังจะตก ?” เช่นกัน สถานการณ์ เศรษฐกิจโลก

ในขณะนี้เมฆดำก่อตัวหนาทึบ เหมือนเป็นลางบอกเหตุว่า พายุฝนกำลังจะมา …ยิ่งเฉพาะประเทศที่ขึ้นชื่อเป็นประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา แล้วล่ะก็ …ฟ้าทั้งแลบทั้งร้องกันกระหึ่ม คงเหลือเวลาอีกไม่นาน.... ก่อนที่ พายุเศรษฐกิจลูกนี้จะโหมกระหน่ำ …ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายไปทั้งโลก

ผมเชื่อว่า สิ่งที่กำลังจะเกิด ยากที่หลีกเลี่ยง จะมาช้าหรือมาเร็ว “มันก็มาแน่ๆ” วิกฤตการเงินครั้งนี้ จะยิ่งใหญ่กว่าทุกๆครั้งที่เราเคยเห็น .... Hamburger Crisis ปี 2008 ที่ว่าร้ายแรงจะกลายเป็นเรื่อง จิ๊บๆ กับสิ่งที่กำลังจะเกิด คุณมีทางเลือก 2 ทาง

1.หลบลงหลุมหลบภัย ป้องกันตัวเองทุกวิถีทาง หรือ

2.พลิกเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็น “โอกาส”

หากเลือกได้ผมไม่ได้อยากให้ วิกฤตนี้เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงขนาดไหน? แต่เป็นเพราะผมคิดว่ามันหลีกเลี่ยงได้ยากมาก กับสิ่งที่สหรัฐได้ทำมาและ “ยังไม่ยอมหยุดทำ” ประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ผลิตสินค้า Made in USA. ที่น่าเชื่อถือและเป็นผู้นำตลาด บัดนี้คนรุ่นหลังๆกินบุญเก่าจากคนรุ่นก่อนจนหมดสิ้น หนำซ้ำยังทำบาปเพิ่ม คงถึงเวลาที่ ผลจากการกระทำ (กรรม)จะสนอง

CREDIT : ข้อมูลทางสถิติจาก National inflation association และ Armstrong Economics

.................................................................................................................................

"นิทานเรื่อง “ชาวเกาะ” (ISLANDERS) "

สมมุติว่ามี เกาะร้างอยู่เกาะนึง มีคนติดเกาะอยู่ทั้งหมด 5 คน … 4คน เป็นเอเชียอีก 1 คน คือ เมริกัน

เพื่อความอยู่รอดทั้ง 5 คนจึงแบ่งงานกันทำ…

คนที่ 1 มีหน้าที่ จับปลา

คนที่ 2 มี หน้าที่ ล่าสัตว์

คนที่ 3 มีหน้าที่ เก็บฟืนก่อกองไฟ

คนที่ 4 มีหน้าที่ ทำกับข้าว

.....ทีนี้พอมาถึง อเมริกัน ???? ทำหน้าที่อะไรดี ???? อเมริกันบอกว่า ขอทำหน้าที่ “กิน” ก็แล้วกัน… จากนั้นในแต่ละวัน ระหว่างที่ทุกๆคนต่างออกไปทำงาน ตามหน้าที่ของแต่ละคน อเมริกันก็ /นอนอาบแดด/ เล่นน้ำทะเล /รอไปเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนเย็นทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อดินเนอร

....อเมริกันก็ทำหน้าที่ กิน กิน แล้วก็กิน อาจจะไม่ได้กินทั้งหมด แบ่งให้เพื่อนๆบ้าง...เพื่อให้มีแรงเหลือเพื่อทำงานในวันต่อๆไป …นานวันเข้า ชาวเกาะเริ่มคิดได้ พอทวงถาม อเมริกันกลับบอกว่า หน้าที่ของตนนั้นสำคัญที่สุด …เพราะหาก อเมริกัน “ไม่กิน” (Consume) ทุกๆคน จะตกงาน !! (Unemployed) … ตัวเค้าเองคือศูนย์กลางของเกาะแห่งนี้

---- แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย ......

.....วันนึง เมื่อ ชาวเกาะทุกคนรวมตัวกัน เริ่มคิดได้และเหลืออดกับการกระทำนี้... คงหนีไม่พ้นที่อเมริกันจะโดนเตะ ออกจากเกาะ … และเมื่อนั้น ชาวเกาะจะได้ กิน ในสิ่งที่ตัวเองลงแรงและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

Credit to Peter Schiff… แปลเรียบเรียงใหม่โดย Nexttonothing

.....................................................................................................................................................

.....ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้แต่ “บริโภค” นำเข้าสินค้าจากทั่วโลก …แล้ว “พิมพ์” ดอลล่าห์ คืนให้เป็นการตอบแทน …การขาดดุลการค้า (Trade Deficit) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะ เอาแต่ นำเข้า (กิน) …ไม่ยอมผลิต (ทำงาน) เพื่อส่งออก การไม่มีสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นผู้บริโภครายใหญ่ ไม่ได้หมายถึงการล่มสลายหรือตกงานของประเทศผู้ผลิต …เอเชียก็จะยังคงเดินหน้าผลิตและทำงานอย่างหนัก เพียงแต่ จะเลิกป้อน สินค้าให้กับสหรัฐ... แล้วหันมาบริโภคกันเอง

.......จีนเองก็เช่นกัน เค้ามีประชากร เป็นพันล้านคน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ..ส่งสินค้ามาให้อเมริกา “ขาดอเมริกาจีนก็อยู่ได้” แถมจะอยู่ได้ดีกว่าเก่าซะด้วยซ้ำ

....... แรงงานจีนนั้นทำงานมาอย่างหนัก เก็บหอมรอมริบ ยังไม่ได้บริโภคเต็มอิ่มเท่าที่ควร …คุณภาพชีวิตอยู่อย่างอัตขัตขัดสนเพราะเค้านั้น “ประหยัด” แต่การใช้จ่ายอย่างประหยัดไม่ได้หมายความว่า “เค้าจน” เพราะ –สินทรัพย์- (Assets) เค้ามีเก็บออมอยู่เยอะพร้อมจะใช้จ่ายได้

ในทางกลับกัน…ประชาชนสหรัฐนั้นขี้เกียจแต่ บริโภคเต็มที่ ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย คุณภาพชีวิตอยู่อย่างหรูหรา.. เพราะเค้านั้น “ใช้เงินมือเติบ” แต่การสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า “เค้ารวย” …เพราะหากมองที่ -หนี้สิน- (Debt) …มันสะสมและเพิ่มพูนขึ้นทุกวันๆ พร้อมที่จะล้มละลายได้ทุกเมื่อ…

....วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงสภาพความเป็นจริงของ สหรัฐกันครับ

สถานะภาพที่ 1 : เป็นหนี้ (DEBT)

อเมริกาในวันนี้ ไม่ใช่อเมริกาที่คุณ “เคย” รู้จักมา หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป …ไปในทางที่ “แย่ลง” ถ้าจะมีอะไรที่จะทำให้ สหรัฐอเมริกาและดอลล่าห์ล่มสลาย สิ่งนั้นก็คงไม่พ้น “หนี้” ที่สหรัฐก่อขึ้นมาเอง... หากคุณอึ้งกับปริมาณเงินที่ สหรัฐพิมพ์ออกสู่ระบบ ในบทความก่อนหน้านี้ คุณจะต้องยิ่งอึ้งกับปริมาณหนี้ที่รอวันชำระ …

---ปริมาณเงิน 1 Trillion นั้นมากขนาดไหน คุณได้เห็นแล้ว …แต่ตัวเลขหนี้สาธารณะของ สหรัฐนั้น ปัดเป็นเลขกลมๆในตอนนี้มีมากถึง “14 Trillion !!” (90% ของ GDP)…ภูเขาหนี้ลูกนี้ ไม่มีใครจะสามารถบริหารจัดการได้ นับวันมีแต่จะโตขึ้นๆ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น “ทุกวินาที”…อัตราการเพิ่มของหนี้ก้อนนี้ไม่ใช่ธรรมดา…

-----ในอดีต สหรัฐเองก็มีหนี้…“ในปี 1950 ปริมาณหนี้ในตอนนั้นมีมูลค่า 250 Billion แต่เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 500 Billion ในปี 1975”เพิ่มขึ้นเท่าตัว ใช้เวลาทั้งหมด 25 ปี แต่สหรัฐในยุคใหม่นี้

......จากปี 2003 ระดับหนี้ 7 Trillion เพิ่มสูงถึง 14 Trillion ในปี 2010…“เพิ่มขึ้นเท่าตัวเหมือนกัน แต่ใช้เวลาเพียงแค่ 7 ปี !!!” เร่งสปีดติดเทอร์โบแถมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทางออกสำหรับสหรัฐจึงมีเพียง 2 ทาง

1.ถางป่าเอาต้นไม้ทั้งหมดมา เป็นวัตถุดิบในการพิมพ์เงินเพื่อจ่าย

2.เบี้ยว (Default)

-----ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ผลเสียย่อมตกกับเจ้าหนี้ แต่คนที่จะต้องเจ็บปวดที่สุดก็คือ ประชาชนชาวสหรัฐเอง ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ วิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมาในปี 2008 ธนาคารกลางสหรัฐเลือกที่จะอุ้มหนี้เสียจากบริษัท Fannie Mae and Freddie Mac …ซึ่งมีมูลค่าถึง 6.3 Trillion พอกดเครื่องคิดเลขรวมเข้าไปแล้ว หนี้ของสหรัฐจึงสูงถึง 20.3 T

สถานะภาพที่ 2 : รายจ่ายสูง (Overspending)

สหรัฐมี ภาระ ในส่วนของสวัสดิการรัฐ ที่สัญญาว่าจะจัดสรรให้กับประชาชน มากมาย (Unfunded Liabilities for Social Security) …ไม่ว่าจะเป็น…

- สวัสดิการรักษาพยาบาล (Medicaid& Medicare)

- สวัสดิการการชดเชยการว่างงาน (Unemployment Benefit) หรือแม้แต่

- คูปองอาหาร (Food Stamp)(43 ล้านคนในอเมริกาขณะนี้ไม่มีความสามารถแม้แต่จะซื้ออาหาร ต้องพึ่งพิง Food Stamp จากรัฐ คิดเป็น 14% จากประชากรทั้งประเทศ)

......ยอดรวมแล้ว มีค่าใช้จ่าย ที่จะต้องจัดสรรงบประมาณเข้าไปอีก 60 Trillion !! ไอ้ตอนหาเสียงก็ สัญญาประชานิยมทุกอย่างว่าจะจัดสรรให้ ไม่ได้คิดถึงว่าถ้าถึงเวลาจะเอาเงินมาจากไหน ขอแค่ได้คะแนนเสียงเข้าไปนั่งในสภาก่อน ??

-----ยิ่งเข้าปี 2010 ประชากรชาวอเมริกายุค เบบี้บูม...(Babyboomer) จะเริ่มเข้าสู่ “วัยเกษียณ” …การหยุดทำงานของประชากรวัยนี้พร้อมๆกัน จะทำให้รายได้จากภาษีของรัฐลดลงอย่างฮวบฮาบ ในขณะที่รายจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุ เพิ่มสวนขึ้นแทน

-----สรุปเช็คบิลแล้ว จึงมีหนี้สินรวมรายจ่ายที่จะตามมาถึง 14T+6T+60T = “80T !!!” มากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้ …นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ ธนาคารกลาง นั้นจำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0% …ไม่สามารถปรับขึ้นได้ เพราะจะยิ่งทำให้ภูเขาหนี้ลูกนี้โตเร็วขึ้นกว่าเดิม

สถานะภาพที่ 3 : ตกงาน (Unemployed)

....ลองมองไปรอบกายคุณทุกวันนี้ มีสินค้าชนิดไหนบ้างที่เป็นสินค้า MADE IN USA.?? ทีวีก็ โซนี่ ซัมซุง / รถยนต์ก็ โตโยต้า ฮอนด้า / เสื้อผ้า สินค้าอุปโภค บริโภค หลายชนิดก็ จีนแดง …(แม้แต่ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความ ผมใช้เมาส์ยี่ห้อ Microsoft แท้ๆ แต่พอพลิกดูด้านล่างก็ไม่วายผลิตที่จีน : MADE IN CHINA)จากประเทศผู้ผลิต รายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือ วิทยุ-โทรทัศน์ ในอดีต …อุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่มีเหลือในสหรัฐอีกต่อไป เอเชียคือผู้ผลิต ส่วนอเมริกาคือผู้บริโภค

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นอกจากจะตกงานระดับประเทศแล้ว ภายในประเทศเอง อัตราการว่างงาน “อย่างเป็นทางการ” ในสหรัฐ ก็สูงถึง 9.8% นั่นคือทุกๆ สิบคนจะมีคนตกงาน 1 เกือบ 10% ของประชากรนี้จะต้องพึ่งพิงอยู่กับสวัสดิการชดเชยการว่างงาน แต่ตัวเลข ที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทาง ยัง

- ไม่นับรวม คนที่ทำงานตกงานจากงานประจำแล้วหันไปทำ พาร์ทไทม์

- ไม่นับคนที่ยอมแพ้เลิกหางานอีกต่อไป

- ไม่นับคนที่ไม่ได้มาแจ้งรับสวัสดิการจากรัฐ

....ที่ไม่นับเพราะมันจะยิ่งทำให้ รัฐบาลนั้นดูแย่ แต่ถ้านับ 21.7% ของประชากรในตอนนี้ ตกงาน !!!!

---- รัฐบาลตัดสินใจออกสวัสดิการชดเชยการว่างงาน 99 สัปดาห์รวด แต่ผลที่ตามมาก็คือ 99 สัปดาห์ผ่านไป คนเหล่านี้ก็ยังหางานทำไม่ได้ (คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “ไนน์ตี้ไนน์เนอร์” 99ER)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตำแหน่งเสมียนทำบัญชีธรรมดาๆ ในสหรัฐตอนนี้ ประกาศรับ 4 ตำแหน่งแต่มีผู้แห่มาสมัครถึง 2000 คน ที่ รัฐ Ohio 700 คนสมัครในตำแหน่ง “ภารโรง” ที่ว่างเพียงตำแหน่งเดียว ยิ่งหากนับเฉพาะคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปี เช่น นักศึกษาเพิ่งจบใหม่
อัตราการว่างงานจะสูงถึง 54% แม้แต่คนที่มีงานทำอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นงานที่จ้างโดยภาครัฐซะส่วนนึง (ข้าราชการ) และเป็นงานในภาคบริการอีกส่วนนึง (Service Sector Jobs) (เช่น พนักงานสปา เด็กเสริฟ)

แต่สิ่งที่สหรัฐต้องการคืองานภาค อุตสาหกรรมและการผลิต (Production Jobs) (หนุ่มสาวโรงงาน) เพื่อที่จะสามารถสร้างผลผลิต แข่งขันทางด้านการค้ากับต่างประเทศได้

--- ทั้งมีหนี้สินล้นพ้นตัวพร้อมรายจ่ายบานตะไท หนำซ้ำยังตกงาน สหรัฐ อยู่ในภาวะที่ หมื่นเหม่ ต่อการล้มละลายทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอเคลียร์ 1

บ่อยครั้งที่ผมพูดถึงเรื่องพวกนี้ เคยมีเพื่อนถามผมว่า สหรัฐอเมริกาที่แสนจะยิ่งใหญ่ /มีบริษัทชั้นนำอย่าง Apple ..ที่ผลิต IPhone-IPad , บริษัท Google , หรือแม้กระทั่ง Microsoft ของ บิลเกต …ะล่มสลายได้ยังไง? ฟังดูแล้ว
ไม่น่าเชื่อ แต่ความจริงก็คือ …

ทั้งสามบริษัทรวมกันแล้ว สร้างรายได้ภาษีให้กับรัฐประมาณ ปีละ 12 Billion ในขณะที่ การขาดดุลงบประมาณ (Budget deficit) ของรัฐบาลโอบาม่า นั้นอยู่ที่ประมาณ 1.29 Trillion !!!!

นั่นเท่ากับว่า …

สหรัฐต้องการบริษัทอย่าง Apple อีก 107.5 บริษัท Google อีก 107.5 บริษัทและ Microsoft อีก 107.5 บริษัท ถึงจะสร้างรายได้ให้พอเพียงกับการถลุงเงินเล่นของรัฐบาล ทีนี้ทำไม ในเมื่อมันแย่ซะขนาดนั้น อะไรที่ทำให้สหรัฐยังไม่ล่ม ??

คำตอบก็คือ “ดอลล่าห์”ครับ

......ดอลล่าห์เป็นเงินสกุลพิเศษ มีพลังอำนาจเหนือเงินทุกสกุลบนโลก เพราะมันคือ “World’s Reserved Currency” นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นเงินสกุลหลักของโลก ยังได้สิทธิ์พิเศษคือ “พิมพ์ได้ไม่อั้น

บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"