เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันตลอดมาว่า การมาของ AI และ Robot นั้น ทำให้คนต้องตกงาน และต่อไปมนุษย์จะไม่มีงานทำเพราะงานส่วนใหญ่ถูกเหล่าหุ่นยนต์แย่งเอาไปทำแทน คำถามเหล่านี้มีมาให้เห็นโดยตลอด
พอๆ กับความคิดเห็นด้านที่สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของตลาดแรงงาน ที่พบเจอได้มากมายบนโลกเซเชียล
แต่เมื่อคำถามนี้ ได้นำไปถามบรรดาบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Jeff แห่ง Amazon // Jack แห่ง Alibaba หรือ Masayoshi แห่ง Softbank ทุกคนก็จะพูดเหมือนกันหมดว่า พวกเขาไม่ห่วงเลยว่าหุ่นยนต์จะมาแทนที่มนุษย์ และที่น่าประหลาดใจคือ เหตุผลที่ไม่เป็นห่วง ก็มีความเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ
.
งานบางอย่างจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ แต่ในขณะเดียวกัน โลกเราจะผลิตงานใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งเป็นงานที่มีแต่มนุษย์ที่ทำได้ นี่คือคำตอบของเหล่าซีอีโอและฝ่ายบริหารของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และเป็นคำตอบที่คลาสสิคที่สุด ถ้าลองไปฟังคำสัมภาษณ์ในคำถามที่เกี่ยวข้องกับตลาดแรงงาน คุณก็จะได้รับคำตอบประมาณนี้กลับมาทุกครั้ง คำถามที่น่าสนใจคือ คำตอบนี้เป็นความจริง หรือเป็นเพียงการพยายามหาความชอบธรรมให้กับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาโดยการสร้างขึ้นของพวกเขา ??
.
1 โลกที่หมุนไปโดยไม่อาจขัดขวางได้
.
ไม่ว่าจะโอดครวญแค่ไหน ความเป็นจริงของโลกใบนี้คือการก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุดรอคนข้างหลังอยู่ดี การก้าวไปข้างหน้าหมายความถึงความพยายามที่จะแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง ซึ่งในแง่ของตลาดแรงงาน มันคือการแก้ปัญหาในงานที่มีความอันตราย งานที่มีลักษณะทำซ้ำๆ เช่นงานในสายพานของโรงงานที่กระทำซ้ำเดิมๆ โดยไม่ต้องใช้สมองคิด ซึ่งงานประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะเกิด Turnover ของพนักงานสูง เพราะมนุษย์เอง ก็ไม่ได้ชอบการทำงานซ้ำๆ เช่นกัน ยังไม่นับถึงสุขภาพของแรงงานที่มีแนวโน้มจะแย่ลงจากการทำงานที่เป็นรูทีนซ้ำๆ
เมื่องานเป็นงานที่มีอันตราย ต้องทำซ้ำๆ โดยไม่ใช่หัวสมอง และไม่ดีต่อสุขภาพ การคิดค้นหุ่นยนต์เพื่อมาทดแทนงานที่มนุษย์หลีกเลี่ยงจึงเกิดขึ้น แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีของหุ่นยนต์และ AI ก็พัฒนามากขึ้น คุกคามงานอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังกระจายไปคุกคามงานในหลายๆ อุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้มนุษย์จะเริ่มตระหนักถึงการคุกคามของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่การจะไปหยุดเทคโนโลยีเหล่านี้แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อหยุดเทคโนโลยีไม่ได้ สิ่งที่น่าสนใจถัดมาคือ เราจะอยู่อย่างไรบนโลกที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเหมือนอวัยวะส่วนใหม่ของมนุษย์ เหมือนกับที่ปัจจุบันนี้ โทรศัพท์มือถือกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว
.
2 งานอะไรจะหายไป
.
แจ็ค หม่า เคยพูดไว้ว่า มนุษย์จะไม่อาจสู้หุ่นยนต์ในเรื่องของความทรงจำ การคำนวน และการประมวลผลได้ บนเทคโนโลยี Cloud และ Internet สมองมนุษย์ไม่สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลในอากาศได้ แต่ AI สามารถเข้าถึงเหล่า Big Data ที่อยู่ในอากาศ และประมวลผลออกมาได้อย่างรวดเร็ว ในแง่นี้ มนุษย์นั้นแพ้หุ่นยนต์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น งานที่จะหายไป ย่อมเป็นงานที่มีการทำซ้ำๆ ตลอดเวลา เช่นงานบนสายพานของโรงงาน รวมไปถึงงานที่ต้องอาศัยการคำนวนแบบตรงไปตรงมาเพื่อใช้ผลลัพธ์ในการตัดสินใจ เช่น Robo Advisor บนแพลตฟอร์มการบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ซึ่งจะมาแทนที่พนักงานระดับปฏิบัติการในอุตสาหกรรมการเงินการลงทุน ดังนั้น งานใดที่เป็นงานระดับปฏิบัติการที่มีลักษณะงานซึ่งต้องกระทำซ้ำๆ โดยไม่ต้องใช้ความคิดเพื่อก่อให้เกิด Value ใหม่ๆ มีแนวโน้มที่จะถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ได้สูง
.
3 งานอะไรที่ขาดแคลน
.
แม้ในด้านหนึ่งจะมีงานที่มีความเสี่ยงในการถูกทดแทนสูง แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับมีงานอีกหลายอย่างที่กำลังขาดแคลนอยู่ในปัจจุบันนี้
.
ตำแหน่งงานที่ปัจจุบันนี้ขาดแคลนอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่งานที่เกี่ยวข้องกับ AI / Machine Learning / Blockchain / Data Scient และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อผู้ที่มีความรู้ด้านนี้ขาดแคลน สิ่งที่เกิดขึ้นคือการแย่งชิงตัวคนที่มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีมาทำงานด้วย ผลักให้เงินเดือนของสาขาวิชาชีพทางด้านนี้พุ่งสูงทะลุเพดานไปทั่วโลก
.
อย่างไรก็ดี แม้งานในสายเทคโนโลยีจะเป็นที่ต้องการสูง แต่ไม่ได้หมายความว่านักศึกษาที่จบในสายเทคโนโลยีมาจะมีอนาคตสดใสกันทุกคน สิ่งที่สำคัญมากกว่าความรู้ในมหาวิทยาลัยคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ทัศนคติ’ เพราะในสายเทคโนโลยีปัจจุบันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่รุดหน้าไปตลอดเวลา หลายๆ ศาสตร์ เป็นองค์ความรู้ที่เกิดใหม่ ทำให้บริษัทต้องการทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถในการคิดค้นและพัฒนาทักษะต่างๆ ไปข้างหน้า และใครที่ยึดติดกับความคิดและทักษะเดิมๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกทดแทนได้เช่นกัน
.
4 จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
.
บนการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งในด้านตลาดและเทคโนโลยี ต่างก็ต้องการสิ่งที่เรียกว่า ‘ความคิดสร้างสรรค์’ เพราะทุกธุรกิจต่างพัฒนาขึ้นบนความต้องการแก้ไขปัญหาบางสิ่งบางอย่าง รวมไปถึงนำเสนอความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้มีความสุขมากขึ้นด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาอาศัยแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้คือกุญแจอีกดอกหนึ่งสู่ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์และบริการ ที่สำคัญ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มีเพียงมนุษย์ที่จะพัฒนาเรื่องนี้ได้ แต่หุ่นยนต์ไม่สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ใดๆ ได้เลย
.
5 การก่อกำเนิดของธุรกิจใหม่และงานใหม่
.
ในขณะที่คนในสังคมส่วนใหญ่กำลังคร่ำครวญถึงงานที่จะถูกทดแทนโดยหุ่นยนต์ กลับมีคนอีกหนึ่งจำพวก ที่มองการมาของหุ่นยนต์ และ AI ด้วยความหวัง
.
การเติบโตของ StartUp ในปัจจุบัน กำลังเป็นแรงสำคัญในการสร้างงานใหม่ๆ บนโลกนี้ โดยอาศัยโอกาสของการเติบโตบนเทคโนโลยีและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกับมัน แต่ปัญหาสำคัญคือ ในขณะที่ธุรกิจเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะอันเหมาะสมนั้น ธุรกิจเก่าที่มีศักยภาพในการเติบโตถดถอย กลับต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างงาน ดังนั้นเราจึงได้เห็นว่าในธุรกิจเก่าๆ มีการใช้ software เพื่อช่วยทำงาน ลดขนาดบริษัท ไปจนถึงได้เห็นโรงงานที่นำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยผลิต และลดจำนวนพนักงานลงไปจำนวนมากดังที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างทุกวันนี้
.
ดังนั้น ในปัจจุบันอาจจะกล่าวได้ว่า งานที่เกิดขึ้นมาใหม่ในอุตสาหกรรมใหม่นั้นมีจำนวนไม่น้อย แต่ปัญหาคือแรงงานไม่อาจปรับตัวรับงานที่เกิดขึ้นใหม่ได้ แรงงานส่วนใหญ่ไม่สามารถพัฒนาทักษะและองค์ความรู้เพื่อหันไปทำงานที่เกิดขึ้นใหม่บนโลกใบนี้ เพราะปัจจัยทางการศึกษาก็ดี ปัจจัยด้านความสามารถในการเรียนรู้ก็ดี หรือปัจจัยทางด้านอายุก็ดี ทั้งหมดนั้น ทำให้โลกเราในฝั่งหนึ่งกำลังขาดแคลนแรงงานเพื่อสร้างเทคโนโลยีใหม่ แต่อีกด้าน กลับมีแรงงานล้นเกินไปจากการมาแทนที่ของเทคโนโลยีใหม่ ถือเป็นสภาวะที่น่าอึดอัดไม่น้อย และนี่คือปัญหาด้านแรงงานที่สำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรม จาก 3.0 ไปยังยุค 4.0
.
Mei
#Dinotech #JobLoss #JobCreation #IndustryRevolution
Cr.DinoTech5.0
บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman