“DeFi ตายแล้ว” ซีอีโอ Maple ชี้เกมการเงินเปลี่ยน ตลาดทุนกำลังย้ายขึ้นบล็อกเชน จน Wall Street อาจถูกกลืน

Sid Powell ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Maple Finance ออกมาฟันธงว่า “DeFi is dead” —แต่ไม่ใช่ในความหมายที่หลายคนเข้าใจ Powell ระบุว่า สิ่งที่กำลัง “ตาย” ไม่ใช่ DeFi ในฐานะเทคโนโลยี แต่คือ ยุคที่ตลาดแยกการเงินเป็น DeFi กับ TradFi อย่างชัดเจน เพราะในอนาคตอันใกล้ เส้นแบ่งนี้จะค่อย ๆ เลือนหายไป

 

เขามองว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กิจกรรมหลักของตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืม การลงทุน การเคลียร์ริ่ง และการชำระบัญชี (clearing & settlement) จะทยอยย้ายขึ้นไปอยู่บนบล็อกเชน จนกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานปกติของระบบการเงินโลก

“เหมือนกับที่อินเทอร์เน็ตไม่ได้ฆ่าการค้า แต่เปลี่ยนมันเป็น e-commerce แบบคลิกเดียวจบ” Powell กล่าว

DeFi ไม่ได้หายไป แต่กำลัง “กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐาน”

Powell เปรียบเทียบว่า ก่อนยุคอินเทอร์เน็ต ผู้คนต้องเดินเข้าร้านเพื่อซื้อของ แต่หลัง e-commerce ผู้คนยังซื้อของเหมือนเดิม เพียงแค่ไม่รู้สึกแล้วว่ากำลัง “ใช้เทคโนโลยีใหม่”

มุมมองนี้สะท้อนภาพอนาคตของ DeFi อย่างชัดเจน:

  • ผู้คนจะยัง กู้ ยืม ลงทุน และจ่ายเงิน เหมือนเดิม

  • แต่ระบบเบื้องหลังจะรันอยู่บน public ledger และ blockchain

  • จนวันหนึ่ง ผู้ใช้อาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังใช้ “คริปโต”

Onchain Finance ระลอกใหม่ จะขับเคลื่อนด้วย “สินเชื่อเอกชน”

ในขณะที่หลายฝ่ายโฟกัสไปที่ Tokenized Treasuries หรือการโทเคนไลซ์พันธบัตรรัฐบาล Powell กลับมองว่า แรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของรอบถัดไป คือ

Tokenized Private Credit — สินเชื่อเอกชนบนบล็อกเชน

เขาประเมินว่า มูลค่าตลาด DeFi มีโอกาสเติบโตสู่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีกไม่กี่ปี จากปัจจุบันที่ยังอยู่เพียงระดับ “หลักหมื่นล้านดอลลาร์”

ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของ

  • Stablecoins ที่มีซัพพลายหมุนเวียนเพิ่มขึ้น

  • Tokenized assets ทั้งฝั่งสินทรัพย์จริง (RWA) และคริปโตเนทีฟ

Powell สรุปว่า การเติบโตของ DeFi คือฟังก์ชันตรงของ

มูลค่า stablecoins + มูลค่า tokenized assets

“เหตุผล $50 ล้านล้าน” ทำไม Stablecoins อาจบูมในปี 2026

หนึ่งในภาพที่แรงที่สุดจาก Powell คือการคาดการณ์ว่า
stablecoins อาจประมวลผลธุรกรรมแตะ $50 ล้านล้านในปี 2026
จนมีโอกาส “แซง” เครือข่ายบัตรรายใหญ่ในระดับโลก

แรงผลักสำคัญคือ ต้นทุนของร้านค้า

  • ธุรกิจจำนวนมากต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตราว 2%–3%

  • การใช้ stablecoin settlement สามารถลดต้นทุนนี้ลงได้อย่างมาก

  • เท่ากับเป็นการ “คืนมาร์จิ้น” ให้ร้านค้าแบบทันที

Powell มองว่า กลุ่มที่จะเร่ง adoption ก่อนคือ
SMEs, ร้านค้า, neobanks และสุดท้ายจะค่อย ๆ ไหลไปสู่ ธนาคารดั้งเดิม เมื่อกฎเกณฑ์กำกับดูแลมีความชัดเจนมากขึ้น

ผู้ออก Stablecoin = ธุรกิจประกันที่มี “ต้นทุนเงินติดลบ”

อีกมุมมองที่น่าสนใจคือ Powell เปรียบผู้ออก stablecoin รายใหญ่กับ ธุรกิจประกัน เช่น Berkshire Hathaway

เหตุผลคือโมเดลรายได้ที่คล้ายกัน:

  • ผู้ใช้ฝากดอลลาร์ → ผู้ออกนำเงินไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น T-bills

  • ได้ดอกผลจากการลงทุน

  • แต่ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ใช้ในอัตราเดียวกัน

หากบริหารความเสี่ยงได้ดี ส่วนต่างนี้จะกลายเป็น

เครื่องจักรสะสมกำไรระยะยาว

คลิก

Cr.coindesk

-----------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"