หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยทยอยปรับลดลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากที่เคยสูงถึง 95.5% ต่อจีดีพี ช่วงการระบาดโควิด แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะวางใจ เหตุตัวเลขหนี้ยังค้างสูงถึง 15.2 ล้านล้านบาท ถือเป็นความเปราะบางเศรษฐกิจไทย

ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนของเรา ยังคงเติบโตโดดเด่นและน่าสนใจ ซึ่งหากติดตามสถานการณ์ซัพพลายเชนในหลายๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง

ช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยและทั่วโลกต่างประสบปัญหาวิกฤตด้านสุขภาพ ซึ่งส่งผล กระทบต่อมวลมนุษย์ในทุกมิติ ยิ่งมีมาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ปกติ
Keypoint: คนไทยเป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้นาน และเป็นหนี้จนแก่ โดย 90%

“วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุดและอัตราดอกเบี้ยแท้จริงกำลังกลับมาเป็นบวกใช่หรือไม่” เป็นคำถามที่เกิดขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลง

อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล คาดเป็นอุณหภูมิสูงที่สุดในรอบ “อย่างน้อย 100,000 ปี”อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (6 ก.ค.) จนถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่มีการเก็บบันทึกข้อมูล นับเป็นวันที่ 4

นักลงทุนพันธบัตรอาจจะมีโชคในช่วงที่เหลือของปี 2023 ถ้าเครื่องบ่งชี้ตลาดที่ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางต่าง ๆ จะคุมเข้มนโยบายการเงินช้าเกินไป และทำให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงสู่ภาวะถดถอยพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องเป็นจริง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้ผ่อนคลายลง

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ประกาศลดค่าธรรมเนียมการจัดการ (management fees) และค่าธรรมเนียมการรับฝากสินทรัพย์ (custodian fee) ของกองทุนรวมหุ้น (stock mutual fund) ลงสู่ระดับ 1.2% และ 0.2% ตามลำดับ

แบงก์ชาติสิงคโปร์เตือนเศรษฐกิจประเทศเสี่ยงขาลง ขณะสงครามสู้เงินเฟ้อยังไม่จบ แม้ว่านโยบายคุมเข้มทางการเงินของเอ็มเอเอสจะมีประสิทธิภาพในการฉุดเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลงก็ตาม
ธนาคารกลางสิงคโปร์ (เอ็มเอเอส) เปิดเผยรายงานทบทวนเศรษฐกิจประจำปีในวันนี้ (5 ก.ค.) โดยระบุว่า

นายเจอเรมี แกรนแธม (Jeremy Grantham) นักลงทุนระดับตำนานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ CMO ในสหรัฐอเมริกาได้ออกมากล่าวเตือนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงถึง 70% ที่จะร่วงลงอย่างหนักในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนมิ.ย.ในวันพุธ (5 ก.ค.) โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนหนึ่งสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. เนื่องจากเห็นว่าการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อเป็นไปอย่างเชื่องช้า