วงการคริปโตสหรัฐฯ กำลังก้าวสู่เฟสใหม่ของการกำกับดูแล หลัง Paul Atkins ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ออกมาระบุชัดว่า หน่วยงานมี “อำนาจเพียงพอ” ในการเดินหน้ากฎเกณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่จำเป็นต้องรอให้สภาคองเกรส

ผ่านกฎหมายใหม่ก่อนทั้งหมด พร้อมเปิดเผยว่า SEC เตรียมประกาศ “Innovation Exemption” เพื่อผ่อนปรนข้อกฎหมายให้โปรเจกต์คริปโตที่มีความเป็นนวัตกรรมเร็ว ๆ นี้

การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบน floor ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) โดย Atkins ระบุว่า SEC กำลังให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่สภาคองเกรสเกี่ยวกับร่างกฎหมายกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล แม้หน่วยงานจะเคยเผชิญผลกระทบจากภาวะ Government Shutdown ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่การร่างกฎเพื่อช่วยภาคคริปโตยังเดินหน้าต่อเนื่อง

Atkins ย้ำว่า SEC มีเครื่องมือในมือเพียงพอภายใต้กฎหมายเดิม และไม่จำเป็นต้องรอให้ฝ่ายนิติบัญญัติตัดสินใจครบทุกประเด็นก่อน จึงสะท้อนท่าทีใหม่ที่หน่วยงานพร้อม “ขยับเอง” เพื่อสร้างความชัดเจนเบื้องต้นให้ตลาด

Innovation Exemption คืออะไร

หนึ่งในหัวข้อที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ “Innovation Exemption” ข้อยกเว้นใหม่ที่ SEC พัฒนามาได้สักระยะ และมีแผนจะประกาศภายในประมาณหนึ่งเดือน แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคยังไม่ถูกเปิดเผย แต่มีการคาดการณ์ว่ากรอบดังกล่าวจะเปิดพื้นที่ให้โปรเจกต์คริปโตสามารถทดลองบริการหรือโมเดลโทเคนใหม่ ๆ ภายใต้กฎกำกับที่เบากว่าปกติ คล้ายแนวคิด sandbox หรือ safe harbor แบบกึ่งถาวร เน้นให้ผู้พัฒนามีพื้นที่สร้างนวัตกรรม ขณะที่ผู้ลงทุนได้รับการคุ้มครองในระดับสมดุล

ภายใต้ยุคของ Atkins แนวทางการกำกับของ SEC มีทิศทางชัดเจนว่า ลดการใช้การฟ้องร้องเป็นเครื่องมือหลัก และเพิ่มการออก no-action letter ให้โปรเจกต์ที่มีลักษณะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น decentralized physical infrastructure networks (DePIN) มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้โครงการสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเจอการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ต้นทาง

ทิศทางของ SEC ในยุค Trump

Atkins เข้ารับตำแหน่งหลังได้รับการเสนอโดยประธานาธิบดี Donald Trump และทิศทางการทำงานสอดคล้องกับนโยบายจากทำเนียบขาวที่มุ่งสนับสนุนคริปโตเชิงโครงสร้าง ได้แก่

ลดการใช้ enforcement เป็นเครื่องมือหลัก
เปิดพื้นที่ให้โปรเจกต์ทดลองภายใต้กรอบผ่อนปรน
พัฒนาแนวทางกำกับเฉพาะ เช่น Digital Asset Treasury, Stablecoin และ DePIN

ฝ่ายบริหารของ Trump ยังออกคำสั่งหลายฉบับเกี่ยวกับคริปโตและบล็อกเชน ทำให้สหรัฐฯ ในยุคนี้เดินหน้าในแนวทาง “โปรคริปโตแบบมีกฎ” มากกว่าการปล่อยให้ตลาดกำหนดเองโดยไร้โครงสร้าง

ด้านนิติบัญญัติยังเดินคู่ขนาน

แม้ SEC จะยืนยันว่ามีอำนาจเพียงพอ แต่ในสภาคองเกรส ร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังเดินหน้า โดยสองคณะกรรมาธิการสำคัญ ได้แก่ Senate Agriculture Committee และ Senate Banking Committee กำลังผลักดันร่างกฎหมาย digital asset market structure เพื่อกำหนดขอบเขตอำนาจของ SEC และ CFTC อย่างชัดเจน

Tim Scott ประธานคณะกรรมาธิการการธนาคาร ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา (markup) ภายในเดือนธันวาคม ซึ่งหากผ่านในอนาคต จะเป็นโครงสร้างใหญ่ที่ใช้กำหนดระบบกำกับสินทรัพย์ดิจิทัลของสหรัฐฯ ระยะยาว

นัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมคริปโตทั้งในสหรัฐและทั่วโลก

สัญญาณใหม่จาก SEC สะท้อนการเปลี่ยนผ่านที่มีอิทธิพลต่อทั้งผู้พัฒนา นักลงทุนสถาบัน และตลาดโลกในหลายด้าน

ความชัดเจนด้านกฎระเบียบกำลังค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
SEC ส่งสัญญาณจะออกกฎย่อยและข้อยกเว้นเพื่อให้ตลาดเดินต่อได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ร่างกฎหมายของสภาคองเกรสยังเดินตามหลังเพื่อสร้างกรอบใหญ่

โอกาสใหม่สำหรับโปรเจกต์นวัตกรรม
หาก Innovation Exemption มีความยืดหยุ่นเพียงพอ โปรเจกต์ที่เน้นการสร้างโซลูชันจริงจะมีพื้นที่ทดลองที่ปลอดภัยขึ้นในสหรัฐ

แรงดึงดูดของเงินทุนสถาบัน
นักลงทุนสถาบันมอง regulatory clarity เป็นปัจจัยหลัก การที่ SEC กำลังกำหนดทิศทางชัดเจนขึ้น อาจช่วยดึงเงินทุนระยะยาวกลับสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ในช่วงเข้าใกล้ปี 2026

แรงกระเพื่อมต่อประเทศอื่น รวมถึงไทย
หลายประเทศมองสหรัฐฯ เป็นต้นแบบด้านกฎระเบียบ หากโมเดล “เปิดทางนวัตกรรมแต่คุมความเสี่ยง” ของสหรัฐฯ ทำงานได้ดี มีโอกาสที่ประเทศในเอเชีย รวมทั้งไทย จะปรับใช้ sandbox หรือ safe harbor ในรูปแบบคล้ายกันในระยะถัดไป