รัฐบาลไต้หวันเดินหน้าสู่ยุคการเงินดิจิทัลเต็มตัว หลัง จั่ว หรงไถ่ (Zhuo Rongtai) นายกรัฐมนตรีของไต้หวันประกาศว่า รัฐบาลกำลังจัดทำ รายงานประเมินการถือครอง Bitcoin ทั้งหมดที่ถูกยึดในประเทศ พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง

กองทุนสำรองบิตคอยน์แห่งชาติ (Strategic Bitcoin Reserve)

รายงานฉบับนี้จะถูกเผยแพร่ ภายในสิ้นปี 2025 ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไต้หวันกล่าวถึง Bitcoin ในฐานะ “สินทรัพย์สำรองระดับประเทศ” อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนมุมมองสำคัญของภาครัฐต่อสินทรัพย์ดิจิทัล

แนวคิด “Strategic Bitcoin Reserve” ได้แรงผลักจากสหรัฐฯ

กระแสการจัดตั้งทุนสำรองบิตคอยน์ในระดับประเทศเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น หลังจากเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งบริหารเพื่อจัดตั้ง Strategic Bitcoin Reserve ของสหรัฐฯ โดยใช้ Bitcoin ที่ถูกยึดจากคดีต่าง ๆ เป็นทุนตั้งต้น

การประกาศครั้งนั้นทำให้หลายประเทศรวมถึงไต้หวัน เริ่มพิจารณาบทบาทของ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่อาจเป็น “ฐานราก” ของระบบการเงินยุคใหม่

ไต้หวันเริ่มประเมิน BTC ที่ถูกยึด – ชั่งน้ำหนักข้อดี–ข้อเสีย

ระหว่างการประชุมงบประมาณประจำปี นายกรัฐมนตรีหรงไถ่เปิดเผยว่า รายงานฉบับสมบูรณ์ที่จะเสร็จสิ้นภายในปีนี้จะครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น

• ปริมาณ Bitcoin ทั้งหมดที่ถูกยึดโดยหน่วยงานของรัฐ

• ความเป็นไปได้ในการเก็บ Bitcoin ไว้เป็นทรัพย์สินของรัฐบาล

• ประเมิน “ข้อดี–ข้อเสีย” ของการตั้ง Strategic Bitcoin Reserve

• กรอบนโยบายและกฎระเบียบรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

สมาชิกสภา เกอ รู้จวิ้น (Ge Rujun) ยังเสนอให้รัฐบาล “ถือ BTC ไว้ก่อนโดยไม่ต้องดำเนินการใด ๆ” เพื่อรอผลการศึกษาที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจเชิงนโยบาย

นักการเมืองไต้หวันผลักดันให้มีการถือ Bitcoin มาตั้งแต่ปี 2024

ข้อเสนอให้ไต้หวันถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองมีมาตั้งแต่ปี 2024 โดย โค จูชุน (Ko Ju-Chun) สมาชิกสภาเคยเสนอให้รัฐบาลจัดสรร Bitcoin ไม่เกิน 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์

เขามองว่า Bitcoin อาจทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก และเหมาะกับทิศทางการเงินดิจิทัลในอนาคต

ไต้หวันเดินหน้าสร้างกฎระเบียบคริปโตที่เป็นมิตร

ในปี 2024 คณะกรรมการกำกับดูแลการเงิน (FSC) ของไต้หวัน ได้เปิดตัวโครงการทดลองด้านบริการ Custody สำหรับสถาบันการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลและเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเป็นระบบ

ดังนั้น การศึกษาความเป็นไปได้ของการตั้ง Bitcoin Reserve จึงถูกมองว่าเป็น “ก้าวต่อไปที่สมเหตุสมผล” และสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของคริปโตภายในประเทศ