โดยการเปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรือ “Smart Car” ของเทสล่านั้น เกิดกระแสกระเพื่อมของคลื่นในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลก จนผู้บริหารระดับสูงของรถยนตร์เกาหลีใต้คนหนึ่งเคยบอกว่า การมาของ “รถยนต์ไฟฟ้า” นั้น
มันคือหายนะของพวกเขาและรถยนต์ให้น้ำมันแบบโบราณอย่างแท้จริง โดยตอนนี้มีการคาดการณ์ในอนาคตแล้วว่ารูปลักษณ์ องค์ประกอบและการใช้สอยสำคัญของ “รถไฟฟ้าฉลาด” ที่นำโดยเทสล่านั้นจะมีอะไรพิเศษต่างจากรถสมัยเก่าในปัจจุบันอย่างไร โดยตอนนี้ได้มีคำถามที่สำคัญสามข้อคือ
1) รถจะขับด้วยตัวเองได้ไหม, คำตอบที่น่าจะเป็นคือ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าอีกสามปีจะมีรถที่สามารถขับได้เอง ( ไม่ต้องมีคนคอยบังคับ ) 10 ล้านคัน
2) จะใช้ไฟฟ้าหรือใช้น้ำมันและแก๊ส, คำตอบที่น่าจะเป็นคือ นักวิจัยของกลุ่มบอสตันบอกว่าอีก 10 ปี ในอเมริกาจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเองได้ มากเป็น 1 ใน 4 ของทั้งหมด
3) จะเป็นระบบรถส่วนตัวหรือแบ่งปันกัน, คำตอบที่น่าจะเป็นจากนักวิจัยของ founder of Zipcar บอกว่า คือ เมื่อเทคโนโลยีไล่ทันกันแล้ว คนสามารถใช้รถที่ไร้คนขับได้ปลอดภัยเท่ากันแล้ว ตราบใดที่ไม่สกปรกมากหรือมีกลิ่นเหม็น จะเกิด “เครือข่ายรถที่แบ่งปันกันใช้”มากมายหลายเครือข่ายมาร่วมแข่งกันใช้ รถที่ใช้แค่ส่วนตัวหรือครอบครัวเดียวจะน้อยลง ที่เป็นวิสัยทัศน์คล้ายกับของอูเบอร์ และถ้าเรามี “รถแบ่งปันกันใช้” มากขึ้นจะทำให้จำนวนรถเหลือแค่สิบเปอร์เซนท์ของจำนวนที่มีในโลกปัจจุบันนี้ และ ” เราสามารถแก้ปัญหาเรื่องจราจรคับคั่ง ทำให้ชีวิตในเมืองไหลรื่นขึ้น อากาศสะอาดขึ้น เมื่อรถน้อยก็ขับปลอดภัยมากขึ้น ถึงที่หมายเร็วขึ้น ประหยัดน้ำมัน ทำให้ค่าโดยสารรถสาธารณะก็ถูกลงได้ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย
รถจะกลายเป็นสาธารณะสมบัติมากขึ้นแทนที่จะเป็นอาคารบ้านทรัพย์สมบัติส่วนตัวแบบในปัจจุบัน รถจะไม่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อโชว์อวดหน้าตาสถานะทางสังคม Social Status Symbol ของคนในสังคมอีกต่อไป
แต่นั้นมันขัดกับความคิดของบริษัทขายรถยนต์ที่ต้องการขายได้มากๆ เพื่อทำให้ราคาหุ้นสูงๆต่อไป”
“If we share rides in shared cars, we will only need 10 percent of the cars we have today,” says Robin Chase, the founder of Zipcar.
... “We have the ability to eliminate congestion, transform the livability of cities, make it possible to travel quickly and safely from A to B for the price of a bus ticket, improve the quality of our air, and make a significant dent in reducing carbon-dioxide emissions.”
... The company’s fate rides on the answers to three unresolved questions about the auto industry’s future: driven or self-driving? Electric or gas? Private or shared?
... “เทสล่า” ของ “อีลอนมัสท์” ที่ถูกเรียกขานว่า “สตีฟ จ๊อบแห่งวงการรถยนต์” เพราะเขามีทุกอย่างเหมือนตอนที่จ็อบบ์ออกมาขายสมาร์ทโฟน ไอโฟนที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ “โนเกีย” ที่เคยหัวเราะปรามาสไอโฟน ต้องขายกิจการให้กับไมโครซอฟท์ในวันที่ 2 กันยายน 2013 ในมูลค่า 7.17 พันล้านดอลล่าร์ และตามมาด้วยในวันที่ 25 กันยายน 2013 ที่ไมโครซอฟท์ก็เปิดตัวบริษัทลูก “ไมโครซอฟท์โมบาย” เพื่อจะมาแข่งขันในตลาดโทรศัพท์ฉลาด
... เขาถูกจับตาอย่างมากนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2017 ที่ผ่านมา เพราะว่าพวกเขาทำให้บริษัทนั้นมีมูลค่าในตลาดหุ้นมากแซงหน้ายักษ์ใหญ่เจ้าเก่าอย่าง เจนเนอรัลมอเตอร์หรือฟอร์ดไปแล้วและนับวันยิ่งจะทิ้งห่างมากขึ้นเรื่อยๆ และจากตัวเลขถึงปลายปี 2017 พวกเขาผลิตรถไฟฟ้าทั้งสามรุ่น โมเดล S, X, 3 ไปแล้วประมาณ 300,000 คัน โดยเร่งผลิตมากตั้งแต่ปี 2016, 2017 เป็นต้นมา ทำให้ถูกจับตามมองอย่างมาก
1. 212,821 คัน Model S vehicles
2. 71,927 คัน Model X vehicles
3. 1,770 คัน Model 3 vehicles
... จุดเด่นของเขานอกจากการพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ของรถไฟฟ้าแล้ว เขายังเป็นผู้นำในการพัฒนาแบตเตอร์รี่ที่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าไว้ใช้ได้นานในการชาร์ทหนึ่งครั้งด้วยเช่นกัน
... ยิ่งกว่านั้น ในปี 2017 แม้ข่าวที่ออกมานั้น เทสล่าของเขาได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องร่วมลงทุนกับบริษัทจากจีนในการสร้างโรงงานในเขตฟรีเทรดในเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีนเพื่อจะผลิตรถยนตร์ไฟฟ้าราคาถูกลงในตลาดที่กว้างขึ้นให้กับประเทศจีน จีนเอาใจทุกอย่างแม้กระทั่งไม่ต้องมีการถ่ายทอดความรู้ที่ไฮเทคให้กับจีนเพื่อจะทำเองและแข่งขันแบบข้อตกลงในอดีต รวมทั้งตัดรายจ่ายต่างๆออกเพื่อดึงเทสล่ามาผลิตให้คนจีนได้ใช้ในราคาถูกให้ได้ เพราะจีนนั้น มีนโยบายระยะยาวว่า จะพัฒนาพลังงานสะอาดในประเทศเป็นนโยบายหลักของประเทศในทศวรรษหน้าแล้ว ที่ก็สอดคล้องกับอีลอนมัสท์ที่บอกว่าเขาต้องการสร้างรถที่ใช้พลังงานที่ยังยืนที่ทุกคนสามารถซื้อหาได้ เพราะว่าก่อนหน้านั้นในปี 2016 เทสล่าทำเงินจากการขายรถไฟฟ้าให้กับจีนเป็นเงิน 1,000 ล้านดอลล่าร์ โดยคาดว่าเขาจะผลิตรุ่น โมเดล 3 ให้เป็นรถแมสที่แพร่หลายเจาะตลาดคนทั่วไปไม่ใช่ตลาดเฉพาะอย่างนิชที่ขนาดเล็ก ให้ได้ในปีนี้
... แต่แม้ “เทสล่า” ของ “อีลอนมัสท์” จะนำทางไปสู่ “รถยนต์ฉลาด” แบบที่สตีฟ จ๊อปทำมาก่อน แต่พวกบริษัทเจ้าเก่าแก่เจ้าของตลาดเดิมก็ไม่อยากซ้ำรอยเดินตามโนเกียลงเหว เพราะว่าพวกเขาได้พัฒนารถไฟฟ้าพลังงานสะอาดมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับผลตอบรับดี เช่น Chevrolet Volt ของเจนเนอรัลมอเตอร์ที่ได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นนักวิเคราะห์ยังบอกอีกว่าราคาน้ำมันและแก๊สที่ต่ำ อาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนยังนิยมรถแบบเดิม พลังงานฟอสซิลต่อไป ( ปตท. จะแก้ตัวว่าอะไรอีก อนาคตรถไฟฟ้ามา ราคาน้ำมันจะแพงอีกหรือ ? ทำไมไม่ลดลง เพราะอะไร เศรษฐกิจก็ไม่ดี โรงงานก็ไม่มีสร้างผลิตอะไรใหม่ แล้ว ทำไมน้ำมันยังแพงอีก ใครรวยแบบเอาเปรียบ ? บนหลังของคนไทย )
... แต่ข่าวหนึ่งที่ยังไม่ทราบโดยทั่วกันก็คือ “เทนเซนต์” Tencent บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีของจีนของนักธุรกิจหนุ่มที่โดดเด่นอีกคนของจีนอย่าง นายหม่า ฮั่วเถิง ( Ma Huateng ) นั้นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญอันดับที่สี่่ของเทสล่าด้วย โดย Tencent นั้นมีเป้าหมายที่จะผลิตรถยนต์ฉลาดที่ขับเองได้ในอนาคต มีการคาดหมายว่าทั้ง “เทสล่า” และ “เทนเซนท์” ของผู้บริหารหนุ่มทั้งสองจะต้องร่วมมือกันแน่นอน แต่ไม่ชัดเจนว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
... Tencent is now Tesla’s fourth-largest shareholder, according to data compiled by Bloomberg. Elon Musk’s company is preparing to start production of the mass-market Model 3 later this year. It’s yet unclear how the two will collaborate on more specific projects.
... But it is the first of its kind for a foreign car manufacturer, and could drastically cut production costs for Teslas sold in China – and the deal is expected to exclude the kind of technology-sharing agreements that can deter innovative international companies from setting up shop there.
https://www.theatlantic.com/business/archive/2017/04/tesla-future-of-driving/523224/
http://fortune.com/2017/10/22/tesla-car-factory-shanghai-china/
https://en.wikipedia.org/wiki/Ma_Huateng
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
