เตือนรับมือดอกเบี้ยโลกขาขึ้น กูรูฟันธงกระทบไทย 3 ช่องทางหลัก ทำต้นทุนระดมเงินเพิ่ม ดึงเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า

การประกาศลดวงเงิน QE ในอัตราที่เร่งขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดิม ซึ่งจะส่งผลให้วงเงิน QE ทั้งหมดสิ้นสุดในเดือนมีนาคม พร้อมทั้งส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2565 ล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สะท้อนถึงทิศทางดอกเบี้ยโลกที่กำลังจะเข้าสู่ขาขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและความไม่แน่นอนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ซึ่งรวมถึงไทยด้วย THE STANDARD WEALTH ได้ขอให้นักเศรษฐศาสตร์จาก 4 สำนักวิจัยวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากการถอนคันเร่งมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของ Fed ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า จากการศึกษาของกรุงศรีพบว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่และไทยผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ ตลาดตราสารหนี้ ตลาดหลักทรัพย์และอัตราแลกเปลี่ยน
โดยในส่วนของตลาดตราสารหนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ตราสารหนี้ที่จะออกใหม่ในตลาดสหรัฐฯ มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า นักลงทุนจึงมีแรงจูงใจในการเทขายตราสารหนี้เดิม ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นผลดีต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ยังต้องการสภาพคล่องผ่านการคงดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน การถอนคันเร่งของ Fed ก็จะก่อให้เกิดความกังวลว่าสภาพคล่องอาจหดตัว ทำให้นักลงทุนดึงเงินทุนออกจากตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มเผชิญแรงเทขายรุนแรงกว่า โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันขึ้นกับสัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์ของชาวต่างชาติในตลาด
นอกจากนี้ แรงเทขายที่มากขึ้นทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหลักทรัพย์ ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงอัตราแลกเปลี่ยนจากกระแสเงินทุนไหลออก ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์
“สำหรับประเทศไทย เรามองว่าผลกระทบจะอยู่ในช่องทางตราสารหนี้และอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก โดยการศึกษาของวิจัยกรุงศรีพบว่า หาก Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1% จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นราว 0.60% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นราว 0.39% ทำให้ไทยมีต้นทุนการระดมทุนที่สูงขึ้นตามขึ้นไปด้วย แม้เราจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย” สมประวิณกล่าว
สมประวิณกล่าวอีกว่า วิจัยกรุงศรีได้ทำแบบจำลองว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวมาอยู่ที่ 2.5% โดยพบว่าภายใต้สมมติฐานดังกล่าว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของไทยจะปรับขึ้น 0.98% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยย่อมเป็นแรงกดดันต่อต้นทุนการระดมทุนในวงกว้าง เนื่องจากถูกใช้เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ ในตลาด และอาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่จำกัดการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตได้
การศึกษาของกรุงศรียังพบด้วยว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น 1% จะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนของไทยปรับลดลง 3.2% โดยการลงทุนที่ลดลงนั้นจะส่งผ่านในทุกช่องทางในองค์ประกอบของ GDP ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าเครื่องจักรที่ลดลง การผลิตถูกจำกัด เกิดการชะลอตัวของการจ้างงาน ซึ่งจำกัดความสามารถในการบริโภค จนทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบทางลบวนไปมาหรือเกิด Negative Feedback Loop โดยในภาพรวมนั้นการลงทุนที่หายไปจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวหายไปกว่า 0.4%
“การส่งผ่านผลกระทบจะใช้เวลาราว 5 ไตรมาส นั่นหมายความว่าเรามีเวลา 5 ไตรมาสในการเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ถ้าดอกเบี้ยขึ้นแต่เศรษฐกิจเราดีผลกระทบก็จะไม่รุนแรง การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังในช่วงต่อจากนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ในส่วนของนโยบายการเงิน นอกจากการคงดอกเบี้ยเอาไว้ในระดับต่ำแล้ว การเร่งปล่อยกู้ Soft Loan ให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน สามารถฟื้นฟูกิจการและรักษาการจ้างงานได้ถือว่าจำเป็นมาก เรายังขาดตรงนี้ค่อนข้างมาก ส่วนนโยบายการคลัง การใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำ” สมประวิณกล่าว
หวั่นดอกเบี้ยขึ้นเจาะ ‘ฟองสบู่’ สินทรัพย์เสี่ยงแตก
ด้าน พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research กล่าวว่า หากการปรับดอกเบี้ยนโยบายของ Fed เป็นไปตามตัว Dot Plot หรือประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะขึ้นสามครั้ง (0.75%) ในปีหน้า สามครั้งในปี 2023 และอีกสองครั้งในปี 2024 จนไปสูงสุดประมาณ 2.25% จะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่ช้าที่สุดรอบหนึ่ง และยังนับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่ไม่ได้มากนัก เมื่อเทียบกับระดับเงินเฟ้อในปัจจุบัน แต่ความเร็วในการขึ้นก็เร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้แล้ว
“Fed กำลังจะปิดฉากสภาวะที่สภาพคล่องล้นมากๆ และแนวโน้มดอกเบี้ยกำลังจะเป็นขาขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าการลงทุนในหุ้นจะแย่เสมอไป โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจดีขึ้น และส่งผ่านราคาที่สูงขึ้นได้ และในอดีตส่วนใหญ่แล้วผลตอบแทนของตลาดหุ้นยังเป็นบวกในช่วงที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่อาจจะมีความท้าทายต่อ Valuation และผลตอบแทนอาจจะดีแบบในช่วงดอกเบี้ยขาลงไม่ได้” พิพัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ดี สิ่งน่ากังวลคือสภาพคล่องที่หดและดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น อาจจะทำให้เกิดความผันผวน ในระหว่างที่ตลาดปรับการคาดการณ์เรื่องความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย และดอกเบี้ยที่ขึ้นอาจจะไป Trigger ทำให้ฟองสบู่แตกจนสร้างปัญหากับเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ซึ่งสิ่งที่ควรต้องระวังคือสินทรัพย์ที่น่าสงสัยว่าเป็นฟองสบู่ สินทรัพย์ที่แพงๆ สินทรัพย์ที่มี Duration ยาวๆ หุ้นที่พึ่งพาการกู้ยืมเงินระยะสั้น
“สภาพคล่องระหว่างประเทศอาจลดลง และค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น จนสร้างแรงกดดันเงินทุนไหลเข้าออกในตลาดต่างประเทศด้วย อาจจะเริ่มได้ยินข่าวบริษัทขาดสภาพคล่องหรือผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นได้ หรือบางประเทศค่าเงินอ่อนเพราะเงินไหลออก แต่ประเทศไทยคงไม่เกิดภาวะแบบนั้น ที่น่าห่วงคงเป็นเรื่องการขยายตัวมากกว่า พอน้ำลดอาจจะเริ่มเห็นว่าใครว่ายน้ำโดยไม่ใส่เสื้อผ้า” พิพัฒน์กล่าว
ต้นทุนระดมทุนผ่านตลาดบอนด์ส่อเพิ่มขึ้น
ขณะที่ อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ประเมินว่า ประกาศล่าสุดของ Fed เป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้แล้ว จึงไม่ได้สร้างความตื่นตกใจมากนัก ในทางกลับกันตลาดน่าจะรู้สึกคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อมากขึ้น เพราะในที่สุด Fed ลงมือทำอะไรเสียที
“สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คือผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น 2 ปีของสหรัฐฯ ปรับขึ้นไปรอการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าแล้ว ส่วนตัวยาวที่สะท้อนความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ยังดูนิ่งๆ อยู่ สะท้อนว่าสภาพคล่องยังล้นระบบ คนยังอยากลงทุนอยู่ แต่ต้องจับตาดูด้วยว่าตลาดในตอนนี้สบายใจเกินไปหรือไม่ ตอนนี้หลายคนมองว่า Fed ชนะเงินเฟ้อได้แล้ว แต่ถ้าเงินเฟ้อเดือนธันวาคม มกราคม ยังเร่งต่อ การว่างงาน ต้นทุนการผลิตยังไม่ดีขึ้นจะทำอย่างไร” อมรเทพกล่าว
ทั้งนี้ หากย้อนกลับมาดูที่ไทยจะพบว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันยังมาจากอุปทานไม่ใช่อุปสงค์ ซึ่งไม่เพียงพอจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขยับ แต่กลุ่มบริษัทที่ระดมทุนผ่านตราสารหนี้อาจจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นบ้าง แต่เชื่อว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นการทยอยปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ผมมองว่าเศรษฐกิจบ้านเราจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งหลังของปี 2565 ในช่วงนั้นแบงก์ชาติน่าจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแตะเบรกการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และภาวะฟองสบู่ พร้อมสำรองกระสุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือสำหรับวิกฤตในอนาคต” อมรเทพกล่าว
สำหรับผลกระทบต่อเงินบาท มองว่าในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าเงินบาทมีแนวโน้มจะอ่อนค่าไปแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ได้ แต่ในช่วงครึ่งหลังปีหน้า เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้น
“คำแนะนำสำหรับนักลงทุนในภาวะที่เงินเฟ้อเร่งตัว ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเช่นนี้ ผมมองว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังเป็นไปได้ การลงทุนในตราสารทุนยังให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ แต่ต้องระวังความผันผวน ควรเลือกกลุ่มปัจจัยพื้นฐานดี สำหรับกลุ่มผู้นำเข้าส่งออก อยากเตือนว่าอย่าชะล่าใจว่าบาทจะอ่อนยาว ควรป้องกันความเสี่ยงค่าเงินด้วย” อมรเทพกล่าว
แนะเร่งระดมทุนรับมือดอกเบี้ยขาขึ้น
กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การประกาศลดวงเงิน QE และส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยของ Fed ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายของตลาด เนื่องจากเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจไม่ใช่ภาวะชั่วคราว การเข้ามาดูแลของ Fed จึงทำให้ตลาดสบายใจขึ้น แม้ว่าปัญหาคอขวดของซัพพลายเชนจะยังคงอยู่ก็ตาม
“การขึ้นดอกเบี้ยสำหรับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักเป็นเรื่องที่เขารับได้ เพราะเศรษฐกิจเขาฟื้นตัวได้ดี บอนด์ยีลด์ในสหรัฐคงค่อยๆ ขยับขึ้น แต่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังช้ากว่า จะต้องเผชิญกับต้นทุนการเงินที่ขยับขึ้นตามบอนด์ยีลด์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเร็วในการฟื้นตัว โดยไทยเราอยู่ในกลุ่มนี้” กำพลกล่าว
กำพลระบุว่า ภาวะดอกเบี้ยในช่วง 2-3 ปีจากนี้น่าจะเป็นขาขึ้น ดังนั้นในภาวะที่ดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ การเร่งระดมทุนและบริหารอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้
สำหรับทิศทางค่าเงินบาทในปีหน้าเชื่อว่าจะทยอยอ่อนค่าลง โดยมีโอกาสเคลื่อนไหวในระดับที่อ่อนค่ากว่าแนว 34 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อย่างไรก็ดี หากการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ดุลบัญชีเดินสะพัดที่กระเตื้องขึ้นอาจจะหนุนเงินบาทให้กลับมาแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์ได้
โดย ดำรงเกียรติ มาลา
Source: The STandard Wealth

คลิก

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
----------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

    

Broker Name Regulation Max Leverage Lowest Spreads Minimum Deposit Minimal Lot Contact
221124 trive logo 100x33px

Trive

FCA, ASIC, FSC 2000:1

0.0 pips -ECN
0.5 pips - Standard

$20 0.01 lot

View Profile

Visits website

XM

FCA, ASIC,IFSC,
CySec
1000 : 1 1 pips – Micro
1 pips – Standard

0 pips - Ultra low
$5 0.01 lots View Profile
Visit Website

http://forex4you.com

Forex4you

FSC of BVI 1000 : 1

0.1 pips - Cent
0.1 pips - Classic
0.1 pips - STP

$1 

0.0001 lot Cent
0.01 lot Classic
0.01 lot STP

Visit website
View Profile

Doo Prime

SEC, FINRA, FCA, ASIC, FSA, FSC 500 : 1 0.1 pips $100 0.01 lots View Profile
Visit Website

 Exness 

CySEC, FCA Unli : 1  Stand
Unli : 1 Raw   
Unli : Zero
0.3 pips – Stand
0 pips – Raw
0 pips – Zero
$1 0.01 lot  Stand
0.01 lot  Raw
0.01 lot  Zero
View Profile
Visit Website

HFMarkets

SV, CySEC, DFSA, FCA, FSCA, FSA, CMA 2000 : 1  0.0 pips $5 0.01 lot View Profile
Visit Website

GMIEDGE

 FCA, VFSC 2000:1 0.1 Pips  $2.5  0.01 lot View Profile
Visit Website

150702 icmarkets logo

IC Markets

ASIC, FSA, CYSEC 1000:1 0.0 pips -ECN
0.5 pips - Standard
$10 0.01 lot

View Profile

Visit website

BDSwiss

FSC, FSA 1000 : 1 1.5 pips - Classic
1.1 pips - VIP
0.0 pips - RAW
$10 0.01 lots View Profile
Visit Website

Pepperstone

ASIC,SCB,CYSEC,DFSA,

FCA, BaFIN, CMA,

200 : 1 1 pips - Stand
0.1 pips - Razor
1 pips - No Swap
0 Pips - Active Trade
0 0.01 lot View Profile
Visit Website

TICKMILL

FCA 500:1 1.6 pips $25 0.01 lot View Profile
Visit website
290318 atfx logoATFX FCA, CySEC 200 : 1 1.8 pips $100 0.01 lot View Profile
Visit Website
170803 roboforex logoRoboForex CySEC, IFSC 2000:1 0.4 pips $10 0.01 lot View Profile
Visit Websit

www.fxclearing.com
FXCL Markets

IFSC 500 : 1

1 pips - Micro
1 pips - Mini
0.6 pips - ECN Li
0.8 pips - ECN Inta
1 pips - ECN Sca

$1 0.01 lot View Profile
Visit website

 

AxiTrader

FCA, ASIC, FSP, DFSA 400 : 1  0.0 pips $1 0.01 lot all View Profile
Visit website

http://www.fxprimus.com

FXPRIMUS

CySEC 500 : 1 2 pips - Mini
0.8 pips - Stand
0 pips - ECN
$100 0.01 lot all View Profile
Visit Website

FXTM

CySec ,FCA,IFSC 1000 : 1

0.0 pips - ECN

0.1 pips -Stan

$1 0.01 lot View Profile
Visit Website

AETOS.COM

AETOS

FCA, ASIC, VFSC, CIMA up to 800

Genneral 1.8 pip
Advance 1.2 pip
Pro 0.0 pip

$50
$50
$20,000

0.01 lot View Profile
Visit website

EIGHTCAP

ASIC 500 : 1 0.0 pips  $100 0.01 lot

View Profile

Visit website

 

Fullerton

SFP, NZBN 200 : 1 0.5 pips - Live $200 0.01 lot View Profile
Visit Website

FxPro

CySEC, FCA
FSB, MiFID
500 : 1
Max
0.6 pips  $100 0.01 lot View Profile
Visit Website

INFINOX

 FCA, SCB 400 : 1 0.0 pips $10 0.01 lot  View Profila
Visit Website

VT markets

CIMA, ASIC 500 : 1 0.0 pips $200 0.01 lot  View Profila
Visit Website

TMGM

ASIC 500 : 1 0.0 pips $100 0.01 lot  View Profila
Visit Website

020422 zfx logo

ZFX

FCA, FSA 2000 : 1 0.0 pips

$15

0.01 lot  View Profila
Visit Website

 

ดูตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ทั้งหมด คลิก

 

 

 

 

 

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"