"สุภาพบุรุษและ สุภาพสตรี ผองเพื่อน ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก คือบ้านที่เราอยู่ร่วมกัน เรายินดีร่วมมือกับ ภูมิภาคอื่นทุกภูมิภาค รวมทั้งประเทศหรือ บริษัทต่างๆ ที่อยากจะร่วมมือกับเรา" ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนกล่าวใน เวทีประชุมนักธุรกิจเอเปค เมื่อวันพฤหัสบดี (19 พ.ย.)
โดยผู้นำจีนกำลังดำเนินบทบาท รัฐบุรุษระดับโลก เหมือนที่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม (ดับเบิลยูอีเอฟ) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อันลือลั่น เมื่อเดือนม.ค.ปี 2560
ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีสี ถือโอกาสกระทุ้งสหรัฐด้วยการบอกว่าลัทธิเอกภาพนิยม กีดกันการค้าและการรังแกประเทศเล็กกว่าที่นับวันจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจน พฤติกรรมต่างๆ ที่ขัดต่อกระแสโลกาภิวัฒน์เพิ่มความเสี่ยงและสร้างความไม่แน่นอนแก่เศรษฐกิจโลก
ถ้อยแถลงของสี ในการประชุมทางไกล ของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เอเชีย-แปซิฟิก(เอเปค)เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตอกย้ำว่ารัฐบาลปักกิ่งมีความต้องการ อย่างยิ่งยวดที่จะเข้ามาเติมเต็มภาวะสุญญากาศอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่หายไปตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก
สี กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันศุกร์ (20 พ.ย.)ว่า เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ต้องเผชิญกับภาวะติดลบ การฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยตลาด ที่เปิดกว้าง และการคุ้มครอง ตลอดจนพัฒนา คุณภาพชีวิตให้แก่ประชากร ควรเป็นภารกิจเร่งรัดของรัฐบาลทุกประเทศ
นอกจากนี้ สี ยังกล่าวถึงข้อตกลง ซีพีทีพีพี ว่าเป็นหนึ่งในความร่วมมือทางการค้า ที่จีนจับตาและให้ความสนใจมาตลอด โดยยังคงอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ และระหว่างการประชุมเอเปคครั้งนี้ ผู้นำจีนเสนอยุทธศาสตร์วงจรคู่ที่รัฐบาลปักกิ่งผลักดันมานานหลายทศวรรษ ซึ่งก็คือการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เติบโตจากการพัฒนาภายในอย่างมั่นคง เพื่อนำมาซึ่งการสร้างสมดุล ให้กับตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ (ไอทีซี) ระบุว่า ตอนนี้จีนมีฐานะเกือบเทียบเท่าสหรัฐ ในฐานะประเทศจุดหมายปลายทางด้าน การส่งออก โดยการส่งออกไปจีนจาก 18 ประเทศสมาชิกเอเปคอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐและปาปัว นิวกินีซึ่งไม่มีข้อมูลล่าสุดให้เปรียบเทียบในปี 2562 มีมูลค่า 1.07 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 90% ของตัวเลขในสหรัฐและเพิ่มขึ้น 80% ในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 หลังเกิดวิกฤติการเงิน
หลังเกิดวิกฤติการเงิน อิทธิพลของจีน ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (585 พันล้านดอลลาร์)ของรัฐบาลปักกิ่งช่วยกระตุ้นความต้องการบริโภคภายในประเทศได้ อย่างเห็นผล จนทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น ชาติเศรษฐกิจเอเปคที่ส่งออกสินค้าไปจีนมากกว่าไปสหรัฐมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 7 ประเทศ ในปี 2551 เป็น 14 ประเทศในปี 2554 ส่วนจีนเอง ก็ไม่รู้สึกอายหรือตะขิดตะขวงใจที่จะใช้การค้า เป็นเครื่องมือกดดันประเทศต่างๆ ที่จีน มีปัญหาด้วย
อย่างกรณีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว รัฐบาลปักกิ่งยุติการส่งออกแร่หายากให้ญี่ปุ่นเพราะมีกรณีพิพาทการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะเซนกากุ ในทะเลจีนตะวันออก และในตอนนี้ จีนกำลัง ลงโทษออสเตรเลียด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจหลายรูปแบบเพื่อแสดงให้ออสเตรเลียเห็นว่า จีนไม่พอใจที่รัฐบาลแคนเบอรา แนะนำประชาคมโลกว่าควรตรวจสอบถึงต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ยูเรเซีย กรุ๊ป ระบุว่า สิ่งที่ต้องจับตามอง ในอนาคตคือการทำข้อตกลงการค้าเสรี ที่จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้หารือร่วมกัน มานาน แต่ไม่มีความคืบหน้าเพราะปัญหา ความตึงเครียดด้านภูมิศาสตร์การเมืองระหว่าง จีนและญี่ปุ่น และระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ แต่ทั้ง 3 ประเทศนี้อยู่ในความตกลงหุ้นส่วน ทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(อาร์เซ็ป)
"ความตกลงอาร์เซ็ป และข้อตกลง ซีพีทีพีพีจะเป็นตัวผลักดันให้จีนเร่งบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และการทำเอฟทีเอไตรภาคีนี้จะรวมจีน เข้ามาอยู่ในระบบห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการยากมากขึ้นสำหรับสหรัฐ ที่จะกดดันญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ให้ลด การทำการค้ากับจีนในอุตสาหกรมที่มีความ อ่อนไหว อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตชิพ"รายงานของยูเรเซีย กรุ๊ป ระบุ
นอกจากนี้ ยูเรซีย กรุ๊ป ซึ่งมีฐาน ดำเนินงานอยู่ในนิวยอร์ก ยังให้ความเห็นเรื่อง ความตกลงซีพีทีพีพีว่าเป็นความตกลง ที่มีความทะเยอทะยานมากกว่าความตกลง อาร์เซ็ป ทั้งยังมีโอกาสน้อยมากที่จีนจะเข้าร่วม ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากความตกลงซีพีทีพีพี เรียกร้องชาติสมาชิกให้ลดข้อกีดกันทางการค้า รูปแบบต่างๆ อาทิ ข้อมูลซึ่งเป็นหัวข้ออ่อนไหว สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และความตกลงนี้ อาจจะห้ามให้มีการให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทที่เป็นของรัฐบาล ซึ่งอาจจะสร้างความไม่พอใจ อย่างมากแก่รัฐบาลจีน
ที่สำคัญ คาดการณ์กันว่าความสัมพันธ์ ระหว่างจีนและสหรัฐยังคงไม่ดีขึ้น แม้โจ ไบเดน จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งต้องการสร้างความมั่นใจว่า รัฐบาลชุดใหม่ ของสหรัฐจะไม่เข้ามาเป็นผู้กำหนด กฎเกณฑ์ต่างๆ บนถนนการค้า-การลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกแห่งนี้
ยูเรเซีย กรุ๊ป คาดการณ์ว่า ภายใต้ ภาวะแวดล้อมที่จีนมุ่งมั่นทำข้อตกลงเอฟทีเอ กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมทั้งการลงนามความตกลงอาร์เซ็ปของจีนกับบรรดาชาติอื่นๆ เมื่อไม่นานมานี้ จะทำให้จีนเป็นผู้เล่นสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานโลกต่อไป แม้ขณะนี้ จะมีบริษัทข้ามชาติหลายแห่งตัดสินใจ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาระบบ ห่วงโซ่อุปทานในจีนมากเกินไป
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
------------------------------------------------------------
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you