ประเทศไทยในกับดักเทคโนโลยีปานกลาง

เมื่อนรกเป็นของเราและสวรรค์เป็นของคนอื่น - Kunal Sen นักเศรษฐศาสตร์การเมืองผู้มีชื่อเสียงแห่ง University of Manchester ชี้ว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปี 2005 มีเพียงประเทศ 13 ประเทศในโลกเท่านั้นที่สร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากกว่าหรือเท่ากับ 7%

ต่อปี ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปีหรือมากกว่า และหากตัดประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น นครรัฐอย่างมอลตา ฮ่องกง และสิงคโปร์ รวมทั้งประเทศที่มีทรัพยากรน้ำมันล้นเหลืออย่างโอมานออกไป ก็จะเหลือเพียงบอตสวานา บราซิล จีน อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ไต้หวัน และไทย รวม 8 ประเทศเท่านั้น

เมื่อพิจารณา 8 ประเทศดังกล่าว มีเพียงเกาหลีใต้และไต้หวันเท่านั้นที่สามารถปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจนกลายเป็นประเทศ ‘รายได้สูง’ และ ‘ผลิตสินค้าเทคโนโลยีสูง’ ได้ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ทั้งสองประเทศจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในฐานะตัวแบบที่ประสบความความสำเร็จเสมอ ในทางกลับกัน ประเทศที่เหลือ โดยเฉพาะในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย แม้ว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน แต่กลับมีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง รวมทั้งยังคงมีรายได้และเทคโนโลยีระดับปานกลางเท่านั้น
ในกรณีของไทย หากพิจารณาการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยในระยะยาว [1] จากภาพที่ 1 [2] จะพบว่าการเจริญเติบโตมีลักษณะลดลงมาเป็นลำดับ โดยลดลงจากเฉลี่ยอยู่ที่ 7.8% ต่อปีในช่วงปี 1986 ถึง 1995 มาอยู่ที่ 3.9% ระหว่างปี 2001 ถึง 2010 และลดลงมาอีกจนอยู่ที่ 2.8% หลังจากปี 2011 จนถึงปัจจุบัน การที่ค่าเฉลี่ยการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยตกต่ำลงมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี้ สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย มากกว่าที่จะเป็นเพียงปัญหาการจัดทำนโยบายผิดพลาด หรือวิกฤตเศรษฐกิจเพียงครั้งคราว
ในบทความนี้ผู้เขียนขอเสนอว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญอย่างมากคือ การที่ไทยไม่สามารถปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่เทคโนโลยีระดับสูงได้อย่างว่องไวมากเพียงพอ
บทความนี้จะค่อยๆ พาผู้อ่านสำรวจ 3 ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรกได้แก่ ดัชนีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งออกสินค้าเทคโนโลยีสูง ซึ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าประเทศไทยไม่สามารถไล่กวดประเทศผู้นำอย่างเกาหลีใต้ได้ทัน และถูกประเทศจีนซึ่งเติบโตว่องไวแซงหน้าไปแล้ว ประเด็นที่สอง การติดกับดักเทคโนโลยีปานกลางที่เกิดจาก ‘โครงสร้างเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น’ มีทุนขนาดใหญ่ครอบงำเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากการกดค่าจ้างและการขยายส่วนแบ่งตลาดมากกว่าการใช้เทคโนโลยี และประเด็นสุดท้าย บทความจะชี้ให้เห็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมรัฐไทยไม่สามารถช่วยแก้ปัญหา หรือพาประเทศก้าวข้ามกับดักเทคโนโลยีปานกลางไปได้
กับดักเทคโนโลยีปานกลาง
นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ระดับเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญกำหนดการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว นักเศรษฐศาสตร์พัฒนาจำนวนมากจึงมุ่งความสนใจไปที่การปรับโครงสร้างการผลิตให้มีสินค้าและอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีอย่างเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเชื่อว่าจะทำให้รายได้ประชากรต่อหัวสูงขึ้น ในบทความนี้จะลองยกตัวแปรจำนวนหนึ่งขึ้นมาฉายให้เห็นสถานการณ์ด้านเทคโนโลยีของไทยเมื่อเทียบเคียงกับ
(1) เกาหลีใต้ ประเทศที่พัฒนาขึ้นมาพร้อมไทยแต่ปรับตัวจนกลายเป็นประเทศรายได้สูงสำเร็จ และ
(2) จีน ประเทศที่เติบโตอย่างว่องไวแต่ยังไปไม่ถึงระดับรายได้สูง
ตัวแปรแรกได้แก่ สัดส่วนการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นกลางและสูง (medium and high-tech exports ratio) จากภาพที่ 2 จะเห็นว่า เกาหลีใต้มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นกลางและสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากราว 50% ของสินค้าส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมในปี 1990 มาแตะที่ 70% ในปี 2000 และค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 74.2% ในปัจจุบัน เมื่อหันกลับมามองไทย จะพบว่าตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา เราไม่สามารถถมช่องว่างระหว่างไทยและเกาหลีราว 10-15% ให้หดแคบลงได้เลย กลับกลายเป็นประเทศจีนที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีปานกลางและสูงเพิ่มมากขึ้นจากราว 28.4% ในปี 1990 มาใกล้เคียงกับประเทศไทยที่ราว 60.5% ในปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาเฉพาะสัดส่วนการส่งออกสินค้า ‘เทคโนโลยีสูง’ ตามภาพที่ 3 โดยพิจารณาจากการใช้งบวิจัยและพัฒนาในการผลิตสินค้าอย่างเข้มข้น เช่น การผลิตเครื่องบิน คอมพิวเตอร์ ยารักษาโรค หรือเครื่องจักรกลไฟฟ้า ฯลฯ จะพบว่า จีนก้าวข้ามไทยไปอยู่ระดับเดียวกับเกาหลีใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในปี 2018 ทั้งเกาหลีใต้และจีนต่างมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีสูงอยู่ที่มากกว่า 30% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด แต่ไทยกลับมีสัดส่วนอยู่ที่เพียง 23.3% เท่านั้น ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นจังหวะการก้าวที่ล่าช้าของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว และจีนที่พัฒนามาทีหลัง
เมื่อเราเห็นภาพรวมของการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีระดับกลางและสูงแล้ว ถัดมาเราจะลองพิจารณาลงลึกระดับ ‘อุตสาหกรรม’ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยพื้นที่เนื้อหาที่จำกัด บทความจึงอยากชวนผู้อ่านพิจารณาเพียงแค่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (information and communications technology: ICT) อย่างเดียว [3] ตัวอย่างสินค้าในอุตสาหกรรมนี้ก็เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ มือถือและอุปกรณ์สื่อสัญญาณ ซอฟต์แวร์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับ ICT เป็นต้น
3 สาเหตุที่อุตสาหกรรม ICT มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ประการแรก William R. Thompson แห่ง Indianna University วิเคราะห์การพัฒนาของเศรษฐกิจโลกระยะยาว ซึ่งเรียกว่าช่วงคลื่นคอนดราทีฟ (Kondratieff waves: K-waves) [4] เขาพบว่าหลังทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา ระบบทุนนิยมโลกได้พัฒนาอุตสาหกรรม ICT ขึ้นมาเป็นลำดับ และภายหลังจากปี 2000 อุตสาหกรรม ICT กลายเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนทุนนิยมโลกให้เติบโต นัยนี้ การเข้าไปมีส่วนร่วมผลิตและส่งออกสินค้าและบริการในอุตสาหกรรม ICT จึงหมายถึงการเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับอุตสาหกรรมหลักของระบบเศรษฐกิจโลก
ประการที่สอง นักเศรษฐศาสตร์พบว่า มีเทคโนโลยีบางแบบที่ถูกใช้งานและสร้างประโยชน์ข้ามอุตสาหกรรม เราเรียกเทคโนโลยีแบบนี้ว่าเทคโนโลยีสารพันประโยชน์ (General-Purpose Technologies: GPTs) ในยุคเริ่มต้นปฏิวัติอุตสาหกรรม เทคโนโลยีที่จัดว่าเป็น GPTs คือบรรดาเครื่องจักรไอน้ำ แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นกระแสไฟฟ้าและ ICT งานของ John Fernald [5] ยืนยันแนวคิดนี้ เขาพบว่าการใช้งานเทคโนโลยี ICT มีผลต่อการปรับตัวสูงขึ้นของผลิตภาพของอุตสาหกรรมอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ การพัฒนาอุตสาหกรรม ICT จึงเป็นเรื่องพึงประสงค์และสำคัญต่อเศรษฐกิจภาพรวม
ประการที่สุดท้าย Keun Lee นักเศรษฐศาสตร์แห่ง Seoul National University เสนอว่า สินค้าและบริการ ICT เป็นอุตสาหกรรมที่เทคโนโลยีมีวัฏจักรสั้น (short-cycle tech) จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาได้เปรียบในการเข้าไปร่วมแข่งขัน ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ความได้เปรียบของผู้นำด้านเทคโนโลยีจะน้อย เนื่องจากเทคโนโลยีที่ถือครองอยู่จะหมดความทันสมัยลงอย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสให้คู่แข่งรายใหม่ๆ เติบโตมาแข่งขันได้ [6] ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ อุตสาหกรรมมือถือ ซึ่งผู้ครอบครองเทคโนโลยีสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ 1990 อย่าง Nokia ก็ต้องเผชิญกับเทคโนโลยีสมาร์ตโฟนในช่วงปลายทศวรรษที่ 2000 เป็นต้น
เมื่อพิจารณาภาพที่ 4 จะพบว่า การส่งออก ‘สินค้า’ ICT ของไทยมีสัดส่วนลดลงเป็นลำดับ โดยลดจากราว 28.9% ของมูลค่าส่งออกสินค้าทั้งหมดในปี 2000 มาอยู่ที่ราว 15.6% ในปี 2018 สัดส่วนดังกล่าว น้อยกว่าประเทศเกาหลีใต้และจีนอย่างมาก โดยทั้งสองประเทศมีสัดส่วนการส่งออกสินค้า ICT อยู่ที่ราว 27-28% ในปี 2018
เมื่อพิจารณา ‘บริการ’ ที่เกี่ยวข้องกับ ICT เช่น การให้บริการทางธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งผ่านข้อมูลและข่าวสาร จะเห็นถึงระดับความซับซ้อนของอุตสาหกรรม ICT ที่มากไปกว่าการผลิตสินค้า จากภาพที่ 5 จะพบว่าไทยส่งออกบริการที่เกี่ยวข้องกับ ICT น้อยมาก มีสัดส่วนน้อยกว่า 2% ของมูลค่าการส่งออกบริการทั้งหมดของประเทศมาโดยตลอด และลดลงมาเป็นลำดับจนปัจจุบันเหลือเพียง 0.6% เท่านั้น ในทางกลับกัน เกาหลีใต้และจีนส่งออกบริการ ICT เพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนในปัจจุบันคิดเป็น 4.8% และ 12.7% ตามลำดับ
โดยสรุปแล้ว ช่องว่างการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีปานกลางและสูงระหว่างไทยและเกาหลีใต้ไม่หดแคบลงเลยตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา และไทยยังปรับตัวได้ล่าช้ากว่าจีนมาก ในระดับอุตสาหกรรม การที่ประเทศไทยยังให้น้ำหนักกับอุตสาหกรรม ICT ไม่มากเท่าที่ควรสะท้อนว่า เรามีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีซึ่งเป็นแก่นของวัฏจักรเศรษฐกิจโลกน้อย รวมทั้งเราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารพันประโยชน์และเทคโนโลยีวัฏจักรสั้นมากเพียงพอ นอกเหนือจากหลักฐานเหล่านี้ ยังมีดัชนีอีกหลายตัวที่สามารถนำมาร่วมพิจารณาได้ เช่น Global Innovation Index หรือสัดส่วนบริษัทเทคโนโลยีสูงในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทั้งหมดชี้ไปในทิศทางเดียวกันคือ ประเทศไทยยังไม่ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีระดับกลางเท่านั้น
“เศรษฐกิจแบบช่วงชั้น” : ปัญหาที่ฝังลึกในโครงสร้าง
เมื่อพบว่าประเทศไทยติดกับดักเทคโนโลยีปานกลาง รายงานศึกษาจำนวนมากก็พาเรากระโจนลงไปสู่มาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีทันที
ทว่า บทความนี้จะขอชักชวนให้เราค่อยเป็นค่อยไป และหยุดพิจารณาให้ละเอียดขึ้นอีกนิดถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คำถามที่อยากชวนท่านผู้อ่านคิดต่อคือ “หากกับดักรายได้ปานกลางเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับทุกคน การจะสร้างแนวร่วมทางเศรษฐกิจเพื่อยกระดับเทคโนโลยี ก็ควรจะเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก… แล้วทำไมแนวร่วมดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้น?”
คำตอบฝังตัวอยู่ในโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไทยนั่นเอง
แล้วโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไทยนั้นเป็นอย่างไร?
งานศึกษาล่าสุดของประจักษ์ ก้องกีรติ และวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร นิยามโครงสร้างเศรษฐกิจไทยว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น (Hierarchical Market Economy: HME) หากอ้างอิง Ben Ross Schneider ผู้คิดค้นแนวคิด HME จะพบว่าระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นมีลักษณะสำคัญอยู่ด้วยกัน 2 อย่าง อย่างแรกในด้านของทุนคือ มีหัวหอกทางเศรษฐกิจเป็นบรรษัทข้ามชาติ ทุนขนาดใหญ่ภายในประเทศทำธุรกิจอย่างหลากหลาย แต่ไม่เหลือที่ยืนให้แก่ทุนขนาดเล็ก อย่างที่สองในด้านแรงงานคือ แรงงานจะมีทักษะต่ำ ได้รับค่าจ้างต่ำ และมีการรวมตัวที่อ่อนแอ
องค์ประกอบทั้งสองด้านนี้ ส่งผลให้มีแรงจูงใจลงทุนด้านเทคโนโลยีต่ำ (ภาพที่ 6) ประกอบกับเศรษฐกิจนอกภาคทางการ (informal sector) ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงอีก
ทุนข้ามชาติมักเข้ามาแสวงประโยชน์จากแรงงานราคาถูกในไทย จึงย้ายฐานการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นมากถึงปานกลางเข้ามา แต่ไม่ย้ายห่วงโซ่การผลิตส่วนที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูงเข้ามามากนัก ส่วนทุนขนาดใหญ่ในไทยก็เน้นความสามารถทางการแข่งขันผ่านการผูกขาด [7] การผลิตปริมาณมาก (economy of scale) และการลดความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการกระจายไปทำธุรกิจหลายๆ อุตสาหกรรม (diversified risks) โดยที่อาจไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในทางเทคโนโลยีเลยก็เป็นได้ เช่น ขยับจากการขายเครื่องดื่มไปทำธุรกิจก่อสร้าง หรือขยับจากธุรกิจเกษตรไปทำระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น ลักษณะเหล่านี้จะทำให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่มีกำไรมาก และมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีน้อยลง
ส่วนด้านแรงงาน เนื่องจากสหภาพแรงงานไม่เข้มแข็ง (ยกเว้นสหภาพรัฐวิสาหกิจ) ทำให้การต่อรองค่าจ้างเป็นไปอย่างยากลำบาก และส่งผลให้ค่าจ้างปรับตัวช้า เมื่อค่าจ้างปรับตัวช้าจะส่งผลไปในสองทิศทาง ทิศทางแรกคือ ทำให้กลุ่มทุนไม่มีแรงจูงใจที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน แต่จะใช้แรงงานราคาถูกไปเรื่อยๆ หรือใช้อำนาจผูกขาดเข้าแสวงหากำไรเกินปกติแทน ทิศทางที่สองคือ ตัวแรงงานเองก็จะไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะของตนเอง และไม่เพียงพอสำหรับลงทุนเพื่อการศึกษาของลูก การปรับตัวด้านทักษะแรงงานจึงเป็นไปอย่างล่าช้า ปัจจัยเหล่านี้ถูกซ้ำเติมด้วยลักษณะเศรษฐกิจที่มีภาคนอกทางการขนาดใหญ่ ทำให้แรงงานจำนวนมากไม่มีรายได้ประจำและไม่มีความมั่นคงในอาชีพ
โดยสรุป ในระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น ไม่ใช่แค่แรงงานเท่านั้นที่ถูกขูดรีดผ่านการสะสมทุน (capital accumulation) แม้แต่นายทุนรายย่อยเองก็ถูกดูดกลืนและทำลายผ่านกระบวนการผูกขาดรวมศูนย์ตลาด (capital concentration) เช่นกัน ผลลัพธ์คือ กลุ่มทุนขนาดใหญ่และบรรษัทข้ามชาติมีแรงจูงใจต่ำที่จะลงทุนทางเทคโนโลยี เพราะการขูดรีดแรงงานและผูกขาดตลาดเป็นหนทางที่ได้กำไรบนความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการลงทุนไปกับเทคโนโลยีอย่างมาก โครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นนี้สอดประสานกัน มีความคงตัวและเปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะกลุ่มทุนหลักล้วนได้ประโยชน์และเติบโตได้ดีบนโครงสร้างเศรษฐกิจเช่นนี้
ภาพที่ 7 แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นในไทยได้เป็นอย่างดี กราฟดังกล่าวการพิจารณารายรับรวมของกลุ่มทุนไทย ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และมีมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุด 10 อันดับแรก กลุ่มทุนเหล่านี้มีรายรับที่เพิ่มขึ้นจากราว 3.7 ล้านล้านบาทในปี 2016 มาอยู่ที่ราว 4.65 ล้านล้านบาทในปี 2018 และลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ราว 4.59 ล้านล้านบาทในปี 2019 หากเทียบตลอดระยะเวลา 4 ปีจะพบว่า รายรับของทุนขนาดใหญ่เหล่านี้เพิ่มขึ้นราว 5.48% ต่อปี (คิดแบบ cumulative growth rate) โดยมีมูลค่ารายรับรวมปีล่าสุดคิดเป็นราว 27% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มาก และสะท้อนถึงบทบาทนำของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทยได้พอสมควร
งานศึกษาล่าสุดของ Kevin Hewison เรื่อง Crazy Rich Thais ซึ่งมีหน่วยวิเคราะห์อยู่ที่ตัว ‘นายทุน’ ได้ให้ข้อมูลสนับสนุนสมมติฐานนี้เช่นกัน เขาพบว่า ในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของไทยชะลอตัวลงในสองทศวรรษหลัง ความมั่งคั่งของคนที่รวยที่สุด 10 ตระกูลเพิ่มขึ้นจาก 14.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2006 ไปเป็น 108.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2019 ก้าวกระโดดมากกว่า 7 เท่าตัวในระยะเวลาเพียงทศวรรษครึ่งเท่านั้น ดังที่แสดงให้เห็นในภาพที่ 8 กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ถึงแม้กับดักเทคโนโลยีปานกลางจะเป็นนรกสำหรับทุนขนาดเล็กและแรงงาน แต่มันคือสวรรค์เทคโนโลยีปานกลางของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ปกครองในระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น”
บทบาทของรัฐกับปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
หากพิจารณาประสบการณ์ของรัฐเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็วอย่างเกาหลีใต้และไต้หวัน จะพบว่าภาครัฐมีบทบาทอย่างมากในการร่วมมือกับเอกชนเพื่อก้าวข้ามโครงสร้างเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นไปสู่เศรษฐกิจในรูปแบบที่พึ่งพิงเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น และพึ่งพิงการขูดรีดแรงงานกับการผูกขาดน้อยลง งานที่กล่าวถึงบทบาทภาครัฐในประเทศเหล่านี้ก็เช่น งานของ Alice Amsden และ Robert Wade เป็นต้น ทว่ารัฐไทยไม่อาจจะแสดงบทบาทดังเช่นรัฐตัวแบบเหล่านี้ได้ โดยสามารถจัดกลุ่มคำอธิบายสาเหตุออกได้เป็นสามกลุ่มดังต่อไปนี้ [8]
ความกลัวการสูญเสียอำนาจทางการเมือง (political loser hypothesis)
คำอธิบายในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก ต้องเข้าใจก่อนว่า ทรัพยากรทางการเงินคือรูปแบบหนึ่งของอำนาจชี้ขาดทางการเมือง เพราะเงินทุนสามารถนำไปใช้ขับเคลื่อนการเมืองได้จากหลายๆ แง่มุม
ส่วนที่สอง เมื่อเกิดเทคโนโลยีใหม่ ย่อมทำให้การถือครองทรัพยากรการเงินเปลี่ยนแปลงไป ผู้ผูกขาดตลาดสินค้า A จะไม่สามารถจะผูกขาดได้อีกต่อไป เพราะเกิดคู่แข่งขันใหม่เพิ่มขึ้นมาในตลาด ส่วนที่สาม เมื่อทรัพยากรทางเศรษฐกิจกระจายตัวออกไปมากขึ้น ก็สร้างความเสี่ยงให้แก่ชนชั้นนำทางการเมือง เพราะทุนเกิดใหม่ทั้งหลายอาจสนับสนุนกลุ่มการเมืองอื่นที่อยู่นอกวงผู้มีอำนาจดั้งเดิม ทำให้ดุลอำนาจทางการเมืองพลิกผัน
เมื่อนำตรรกะ 3 ส่วนนี้มาประกอบกัน ก็จะอธิบายได้ว่าทำไมผู้มีอำนาจทางการเมืองจึง ‘กลัว’ หรือลังเลใจที่จะยอมให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น รวมถึงจำกัดการสนับสนุนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจนกว่าจะมั่นใจว่า นายทุนซึ่งเป็นพวกของตนจะเป็นผู้ครอบครองเทคโนโลยีใหม่เหล่านั้น เมื่อกลับมามองย้อนถึงประเทศไทย การสนับสนุนและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่จึงมิได้เกิดขึ้นจากผู้เล่นรายใหม่ๆ มากนัก แต่มักจะเกิดจากการลงทุนอย่างจำกัดของผู้เล่นดั้งเดิมในตลาด โดยผู้เล่นเหล่านั้นมีอำนาจผูกขาดในทางเศรษฐกิจ และมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองแน่นแฟ้นกับรัฐอยู่แล้วระดับหนึ่ง
การขาดขีดความสามารถและอิสระในการทำนโยบาย
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในบรรดาผู้ศึกษาเกาหลีใต้และไต้หวันว่า ทั้งสองรัฐนี้เป็นรัฐซึ่งมีขีดความสามารถสูง คำว่าขีดความสามารถสูงนี้ครอบคลุมหลายมิติ แต่สองมิติที่สำคัญที่สุดได้แก่
(1) ขีดความสามารถในการทำนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของเอกชน และ
(2) ขีดความสามารถในการรับรู้และปรับตัวได้ว่องไวตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและตามเงื่อนไขของระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ขีดความสามารถทั้งสองด้านนี้มีรากฐานอยู่กับคุณลักษณะที่ Peter Evans เรียกว่า ’embedded autonomy’
คำว่า embedded autonomy มีองค์ประกอบสองส่วน ส่วนแรกได้แก่ ’embedded’ หมายถึงการผนึกประสานความร่วมมือของกลุ่มทุนต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในการทำนโยบายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การทำนโยบาย การดำเนินนโยบาย และการปรับนโยบายตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ส่วนที่สองได้แก่ ‘autonomy’ ซึ่งหมายความว่า แม้รัฐจะดึงทุนเข้ามาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด แต่รัฐต้องยังมีอิสระที่จะดำเนินนโยบายได้ ให้แรงจูงใจ ให้คุณให้โทษแก่นายทุนได้ตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
การที่รัฐมีคุณลักษณะ ‘ผนึกประสานทุนเข้ามาได้อย่างมีอิสระ’ เช่นนี้เอง จึงจะทำให้มีขีดความสามารถสูงพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับเทคโนโลยีของประเทศ
ปัญหาของรัฐไทยคือ เราเป็นรัฐที่มีขีดความสามารถปานกลางเท่านั้น (intermediate state) รัฐไทยไม่ถึงกับว่ามีขีดความสามารถต่ำมากจนขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ถึงกับทำได้ดีหรือแข็งขัน จุดที่เราอ่อนแออย่างมากก็คือ รัฐไม่ได้มีอิสระเหนือทุน แต่หน่วยงานรัฐจำนวนมากถูกจับกุมโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ (regulatory capturing) [9] เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นการยากที่รัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้ระบบเศรษฐกิจไทยหลุดจากระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น และยิ่งยากขึ้นไปอีก หากจะกำกับหรือกดดันให้ทุนขนาดใหญ่พัฒนาตัวเองทางด้านเทคโนโลยีแทนการขูดรีดแรงงานและการใช้อำนาจเหนือตลาด
การขาดแคลนโลกทัศน์และความรู้ที่สนับสนุนนโยบายอุตสาหกรรม
กล่าวได้ว่า ประเทศไทยไม่ตื่นตัวที่จะนำเข้าองค์ความรู้ด้านนโยบายอุตสาหกรรม หรืออาจถึงขั้นปฏิเสธ เพราะไม่เชื่อว่านโยบายอุตสาหกรรมจะเหมาะสมกับไทย นโยบายส่วนใหญ่ของไทยจึงมีลักษณะสร้างโครงสร้างพื้นฐานและแรงจูงใจในภาพรวม มากกว่าจะมีแผนและกลไกขับเคลื่อนระดับอุตสาหกรรม ซึ่งต่างจากประเทศเติบโตไวอื่นๆ อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีนค่อนข้างมาก เพราะประเทศเหล่านี้ รัฐมีส่วนอย่างสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับ ‘อุตสาหกรรม’ ทั้งสิ้น
สาเหตุของเรื่องนี้มีความซับซ้อน แต่หากกล่าวแบบกระชับที่สุด สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเกิดจากแนวคิด (ideas) ของกลุ่มเทคโนแครต (technocrat) [10] หรือผู้กำหนดนโยบายในประเทศไทย กลุ่มคนเหล่านี้มีแนวคิดที่ให้น้ำหนัก ‘การนำเข้าเงินลงทุนจากต่างประเทศ’ และ ‘การสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ’ มากกว่า ‘การปรับโครงสร้างการผลิต’ ส่วนที่สอง มีเหตุมาจากสถาบัน (institutions) ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า รัฐไทยมีขีดความสามารถปานกลางและมีระดับการคอร์รัปชันที่สูง ทำให้การทำนโยบายเชิงรุกที่เอกชนต้องเข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิดไม่ได้รับความนิยม
คำอธิบายเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า ทำไมรัฐไทยจึงไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ยิ่งไปกว่านั้น แทนที่จะช่วยปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจให้ก้าวหน้ามากขึ้น รัฐไทยกลับกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยรักษาสภาพของระบบเศรษฐกิจแบบช่วงชั้นให้คงทนมากยิ่งขึ้นไปอีก ผ่านการเน้นให้น้ำหนักเรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะสั้นและเครือข่ายผลประโยชน์
การเข้าใจปัญหาเหล่านี้มีนัยยะทางนโยบาย เพราะจะทำให้เราสามารถออกแบบข้อเสนอเชิงนโยบายได้รัดกุมมากขึ้น โดยคำนึงถึงปัจจัยภายในภาครัฐ (และตัวผู้ออกนโยบายเอง) เข้ามาประกอบการออกแบบนโยบายด้วย
การหลุดพ้นจากกับดัก เป็นเรื่องยาก… แต่เป็นไปได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะพบว่าปัญหากับดักเทคโนโลยีปานกลางเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่ทรงตัวอยู่บนปัญหาใหญ่สำคัญอีกสองประการ ได้แก่ โครงสร้างเศรษฐกิจแบบช่วงชั้น และโครงสร้างของรัฐไทยที่ไม่เข็มแข็งและไม่มีบทบาทพัฒนาเชิงรุกในระดับอุตสาหกรรมเท่าที่ควร การก้าวข้ามกับดักเทคโนโลยีปานกลางจึงเป็นภารกิจที่ยาก เพราะต้องทำอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น
(1) ด้านเทคนิค/เทคโนโลยี
(2) ด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ และ
(3) ด้านการเมือง ไปพร้อมๆ กัน ในบทความชิ้นถัดไป ผู้เขียนจะทยอยนำโจทย์และวิธีการแก้ปัญหาในแต่ละด้านมานำเสนอต่อไปเป็นลำดับ
แบ๊งค์ งามอรุณโชติ เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
Source: 101

คลิก

--------------------------------------------------------
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 

Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex

#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

170225DGS 5208 FX Hanuman Media Buying Banners 843150 TH    

Broker Name Regulation Max Leverage Lowest Spreads Minimum Deposit Minimal Lot Contact
221124 trive logo 100x33px

Trive

FCA, ASIC, FSC 2000:1

0.0 pips -ECN
0.5 pips - Standard

$20 0.01 lot

View Profile

Visits website

121224 ebc forex logo 100x33EBC

FCA ,ASIC, CYAMAN 1000 : 1 1.1 pips - STD
0 pips - Pro
$50 0.01 lots View Profile
Visit Website
020125 eightcap 100x33eightcap  ASIC, FCA, SCB, CySec  500 : 1
1.0 Pips -STD
0.0 Pips - Raw
1.0 Pips - TradingView
$20   0.01 lots

View Profile

Visits website

 

180225 logo fpmarkets 100x33

Fpmarkets

ASIC, CySec  500 : 1

ECN 0.0 Pips
Standard 1.0 Pips

$100 0.01 lots

View Profile

Visits website

http://forex4you.com

Forex4you

FSC of BVI 1000 : 1

0.1 pips - Cent
0.1 pips - Classic
0.1 pips - STP

$1 

0.0001 lot Cent
0.01 lot Classic
0.01 lot STP

Visit website
View Profile

Doo Prime

SEC, FINRA, FCA, ASIC, FSA, FSC 500 : 1 0.1 pips $100 0.01 lots View Profile
Visit Website

 Exness 

CySEC, FCA Unli : 1  Stand
Unli : 1 Raw   
Unli : Zero
0.3 pips – Stand
0 pips – Raw
0 pips – Zero
$1 0.01 lot  Stand
0.01 lot  Raw
0.01 lot  Zero
View Profile
Visit Website

HFMarkets

SV, CySEC, DFSA, FCA, FSCA, FSA, CMA 2000 : 1  0.0 pips $5 0.01 lot View Profile
Visit Website

GMIEDGE

 FCA, VFSC 2000:1 0.1 Pips  $2.5  0.01 lot View Profile
Visit Website

150702 icmarkets logo

IC Markets

ASIC, FSA, CYSEC 1000:1 0.0 pips -ECN
0.5 pips - Standard
$10 0.01 lot

View Profile

Visit website

BDSwiss

FSC, FSA 1000 : 1 1.5 pips - Classic
1.1 pips - VIP
0.0 pips - RAW
$10 0.01 lots View Profile
Visit Website

Pepperstone

ASIC,SCB,CYSEC,DFSA,

FCA, BaFIN, CMA,

200 : 1 1 pips - Stand
0.1 pips - Razor
1 pips - No Swap
0 Pips - Active Trade
0 0.01 lot View Profile
Visit Website

TICKMILL

FCA 500:1 1.6 pips $25 0.01 lot View Profile
Visit website
290318 atfx logoATFX FCA, CySEC 200 : 1 1.8 pips $100 0.01 lot View Profile
Visit Website
170803 roboforex logoRoboForex CySEC, IFSC 2000:1 0.4 pips $10 0.01 lot View Profile
Visit Websit

www.fxclearing.com
FXCL Markets

IFSC 500 : 1

1 pips - Micro
1 pips - Mini
0.6 pips - ECN Li
0.8 pips - ECN Inta
1 pips - ECN Sca

$1 0.01 lot View Profile
Visit website

 

AxiTrader

FCA, ASIC, FSP, DFSA 400 : 1  0.0 pips $1 0.01 lot all View Profile
Visit website

http://www.fxprimus.com

FXPRIMUS

CySEC 500 : 1 2 pips - Mini
0.8 pips - Stand
0 pips - ECN
$100 0.01 lot all View Profile
Visit Website

FXTM

CySec ,FCA,IFSC 1000 : 1

0.0 pips - ECN

0.1 pips -Stan

$1 0.01 lot View Profile
Visit Website

AETOS.COM

AETOS

FCA, ASIC, VFSC, CIMA up to 800

Genneral 1.8 pip
Advance 1.2 pip
Pro 0.0 pip

$50
$50
$20,000

0.01 lot View Profile
Visit website

EIGHTCAP

ASIC 500 : 1 0.0 pips  $100 0.01 lot

View Profile

Visit website

 

Fullerton

SFP, NZBN 200 : 1 0.5 pips - Live $200 0.01 lot View Profile
Visit Website

FxPro

CySEC, FCA
FSB, MiFID
500 : 1
Max
0.6 pips  $100 0.01 lot View Profile
Visit Website

INFINOX

 FCA, SCB 400 : 1 0.0 pips $10 0.01 lot  View Profila
Visit Website

VT markets

CIMA, ASIC 500 : 1 0.0 pips $200 0.01 lot  View Profila
Visit Website

TMGM

ASIC 500 : 1 0.0 pips $100 0.01 lot  View Profila
Visit Website

020422 zfx logo

ZFX

FCA, FSA 2000 : 1 0.0 pips

$15

0.01 lot  View Profila
Visit Website

 

ดูตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ทั้งหมด คลิก

 

 

 

 

 

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"