วิจัยกรุงศรี ชี้ “บาทแข็ง” บั่นทอนส่งออก กัดกร่อนเศรษฐกิจระยะยาว

Research Intelligence ฉบับเดือนมิถุนายน ที่จัดทำโดยวิจัยกรุงศรี ในหัวข้อ เศรษฐกิจไทย “แข็งนอก อ่อนใน” : เสถียรภาพสร้างภูมิคุ้มกัน แต่กดดันความสามารถการแข่งขันระยะยาว” ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทกำลังบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก

และอาจส่งผลให้ต่างชาติย้ายฐานการผลิตออกจากไทย อีกทั้งยังกัดกร่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

วิจัยกรุงศรีระบุว่า หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid 19 ในประเทศไทยบรรเทาลงและธุรกิจหลายประเภทเริ่มกลับมาดำเนินกิจการ เงินบาทได้กลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและแข็งค่ารวดเร็วกว่าประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย นำมาซึ่งความวิตกต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ

การแข็งค่าของเงินบาทมิได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้เท่านั้น แต่ในช่วงราวสองทศวรรษที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าสำคัญ สร้างความกังวลต่อภาคส่งออกซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย
จากการประเมินโครงสร้างการผลิตและความเชื่อมโยงของภาคส่งออกต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต พบว่าอุตสาหกรรมในไทยมากกว่าครึ่งของผลผลิตทั้งประเทศจัดอยู่ในกลุ่มผู้ส่งออกสุทธิ (สัดส่วนการส่งออกมากกว่าการนำเข้า) ซึ่งจะได้รับผลเสียจากการแข็งค่าของเงินบาท

สำหรับการวิเคราะห์ผลกระทบ (Sensitivity analysis) ภายใต้แบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (General Equilibrium Model) พบว่า เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% จะทำให้ GDP ลดลง 0.4% ในระยะสั้น และจะลดลงมากถึง 0.8% ในระยะยาว อีกทั้งยังส่งผลให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศลดลงราว 17% สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบทางลบรุนแรง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบระดับปานกลาง อาทิ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์

วิจัยกรุงศรีระบุอีกว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยอัตราแลกเปลี่ยนมีการแข็งค่าราว 25% เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าสำคัญแข็งค่าขึ้นถึง 34% ที่สำคัญในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เงินบาทยังแข็งค่าขึ้นในอัตราที่เร่งขึ้น ประเด็นดังกล่าวไม่เพียงสร้างความกังวลต่อผู้ประกอบการภายในประเทศและนักลงทุนจากต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

Research Intelligence ฉบับนี้จึงวิเคราะห์ผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทที่มีต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในมิติระยะสั้นและระยะยาวที่มีต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ปัจจัยที่หนุนการแข็งค่าของเงินบาท

การแข็งค่าของเงินบาทส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยพื้นฐานด้านเสถียรภาพต่างประเทศ (External Stability) ของไทยหรือความยืดหยุ่นต่อปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศ โดยดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีการเกินดุลอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เหตุการณ์วิกฤตการเงินในเอเชียปี 2540 -2541 อีกทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง สะท้อนว่าประเทศไทยมีเงินไหลเข้าจากต่างประเทศมากกว่าเงินไหลออก นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ ระดับหนี้ต่างประเทศเมื่อเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าหลายประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

วิจัยกรุงศรีได้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับดัชนีความมีเสถียรภาพ (Stability I ndex) โดยดัชนีดังกล่าวประเมินจาก 4 เครื่องชี้วัด ด้วยวิธีการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF IMF) ประกอบด้วย สัดส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP สัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อ GDP อัตราเงินเฟ้อ และระดับหนี้ต่างประเทศเมื่อเทียบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อ GDP โดยข้อมูลในช่วงสองทศววรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าดัชนีความมีเสถียรภาพและค่าเงินบาทสัมพันธ์กันในทางบวก กล่าวคือ ประเทศที่มีค่าดัชนีเสถียรภาพสูงกว่าหรือมีเสถียรภาพดีกว่านั้น ค่าเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศดังกล่าวจะแข็งค่ากว่าโดยเปรียบเทียบ (รูปที่ 2 )

สำหรับประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งบนขวาของรูป แสดงให้เห็นว่าเงินบาทในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มแข็งค่ากว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวันและมาเลเซีย ส่วนดัชนีความมีเสถียรภาพของไทยอยู่ที่ 81.1 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่ 65.8 ดังนั้น อนุมานได้ว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าหลายประเทศในตลาดเกิดใหม่ เงินบาทจึงถูกมองว่าเป็นค่าเงินที่มีความปลอดภัยในการลงทุน ความต้องการเงินสกุลบาทจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอาจสร้างปัญหาในระยะยาว ทั้งในแง่การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกและความน่าดึงดูดด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งท้ายที่สุดอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวม

ค่าเงินบาทมีอิทธิพลมากขึ้นต่อการกำหนดทิศทางการส่งออก

โดยทั่วไปการปรับตัวลดลงของปริมาณการส่งออกนั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการชะลอตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศมากกว่าผลของราคาสินค้าหรืออัตราแลกเปลี่ยน สำหรับข้อมูลของประเทศไทย พบว่าการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและการเติบโตของการส่งออกไทยก็มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน โดยในระยะหลังการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าลดลง ทำให้เกิดการหดตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศและส่งผลต่อเนื่องถึงการส่งออกของไทย นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของการส่งออกไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องทั้งในเชิงมูลค่าและปริมาณ (รูปที่ 4) ที่สำคัญในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าส่งออกในรูปเงินบาทกาลังลดลงในอัตราเร่ง สะท้อนว่าผู้ผลิตจำเป็นต้องลดทอนส่วนของกำไรเพื่อชดเชยผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

จากการวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทและแนวโน้มการเติบโตของการส่งออก ผ่านการใช้สมการแบบ Rolling
R egression ( รูปที่ 5) พบว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมีผลทำให้การส่งออกลดลง หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ปริมาณการส่งออกที่ลดลงจะทำให้ผู้ประกอบการพยายามรักษาระดับรายได้และความสามารถในการแข่งขันของตนเอง โดยปรับลดกำไรผ่านการลดราคาสินค้าส่งออก อย่างไรก็ดี หากเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในระยะยาวหรือเป็นการแข็งค่าจากปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การปรับลดราคาสินค้าลงอย่างต่อเนื่องนั้นจะทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตสินค้ารวมในระบบเศรษฐกิจลดลงในที่สุดทั้งนี้ ผลกระทบต่อผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มจะขึ้นอยู่กับลักษณะของอุตสาหกรรมการผลิตแต่ละประเภท

อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของไทยได้รับผลกระทบทางลบจากการแข็งค่าของเงินบาท

เมื่อพิจารณาโครงสร้างการผลิตรายอุตสาหกรรมจะพบว่าการแข็งค่าของเงินบาทอาจส่งผลทางบวกหรือทางลบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในแต่ละอุตสาหกรรม โดยสามารถจำแนกกลุ่มอุตสาห กรรมออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) Natural hedge hedge คือ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีโครงสร้างการผลิตที่ทำให้ผลจากธุรกรรมด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่มีต่อรายรับและรายจ่ายในรูปเงินตราต่างประเทศมีมูลค่าใกล้เคียงกัน (Balanced exposure) ผลเสียจากรายได้การส่งออกที่ลดลงจึงถูกชดเชยด้วยประโยชน์จากต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่ลดลง 2) กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ (Gainer) คือ ผู้นำเข้าสินค้าสุทธิหรือ Net importers importers(มูลค่าการนำเข้ามากกว่ามูลค่าการส่งออก) จะได้รับประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนการนำเข้าสินค้ามากกว่าผลเสียจากรายได้ส่งออกที่ลดลง และ 3) กลุ่มที่เสียประโยชน์(Loser) คือ ผู้ส่งออกสินค้าสุทธิหรือ Net exporters exporters ซึ่งมีรายได้หลักจากการส่งออกสินค้า จึงมีแนวโน้มที่จะเสียประโยชน์จากรายได้ที่ลดลงมากกว่าต้นทุนการนำเข้าที่ถูกลง

สำหรับขนาดของผลกระทบทางลบต่อกลุ่มอุตสาหกรมต่างๆ มีความแตกต่างกันตามสัดส่วนการพึ่งพิงตลาดส่งออก (หรือสัดส่วนการพึ่งพิงตลาดในประเทศ) หากผู้ส่งออกมีการพึ่งพิงตลาดในประเทศมากกว่าตลาดต่างประเทศหรือสัดส่วนการส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 50 ของการผลิตรวม จะได้รับผลกระทบทางลบในระดับปานกลาง แต่หากผู้ส่งออกพึ่งพิงตลาดโลกเป็นหลักหรือสัดส่วนการส่งออกมากกว่าร้อยละ 50 ของการผลิตรวม เงินบาทที่แข็งค่านั้นจะทำให้ผู้ส่งออกในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบรุนแรง จากการประเมินโครงสร้างการผลิตและความเชื่อมโยงของภาคส่งออกต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต สามารถแบ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทได้ดังนี้ (รูปที่ 6)

- กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลทางบวกจากการแข็งค่าของเงิน คือ ผู้นำเข้าสุทธิ ซึ่งมีสัดส่วนไม่มากนัก โดยอยู่ที่ 16.6% ของการส่งออกของไทยหรือคิดเป็น 11.2% ของ GDP อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้มีการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางเพื่อใช้ในการผลิตเป็นจำนวนมาก จึงได้รับประโยชน์จากต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่ลดลง อาทิ อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมขนส่ง อุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักร และอุตสาหกรรมเหล็กแปรรูป เป็นต้น

- กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบทางลบระดับปานกลาง มีสัดส่วนมากถึง 41.9% ของการส่งออกไทยหรือคิดเป็น 28.2% ของ GDP อุตสาหกรรมในกลุ่มนี้มีการผลิตเพื่อขายในประเทศเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ได้พึ่งพิงตลาดส่งออกเป็นหลัก อาทิ อุตสาหกรรมสิ่งทอ การโทรคมนาคม ที่อยู่อาศัยอาหารและเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์ และบริการทางการเงิน เป็นต้น

- กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบทางลบระดับรุนแรง ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก กลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงถึง 36.7% ของการส่งออกไทย และคิดเป็น 24.6% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรมในกลุ่มนี้นำโดย อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์จากยางและพลาสติก การบริการธุรกิจ เป็นต้น

ดังนั้นจะเห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้มีผลดีหรือผลเสียเพียงด้านเดียวเสมอไป ผลที่ได้มีความจำเพาะตามภาคอุตสาหกรรม โดยขึ้นกับสัดส่วนการนำเข้าและส่งออกสินค้าของภาคอุตสาหกรรมนั้น ๆ รวมทั้งสัดส่วนการพึ่งพิงตลาดส่งออกหรือตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ดี สัดส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบทางลบอยู่ในระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทนอกเหนือจากจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมของไทยแล้ว ยังอาจส่งผลต่อตัวแปรสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

การแข็งค่าของเงินบาททุก 10% จะทำให้ GDP ลดลง 0.8% ในระยะยาว และ FDI หายไป 17% อุตสาหกรรมยานยนต์อาจได้รับผลกระทบรุนแรง
วิจัยกรุงศรีได้ทำการประเมินขนาดของผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทที่มีต่อตัวแปรทางเศรษฐกิจของไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยอาศัยการวิเคราะห์ผลกระทบ (Sensitivity analysis) ภายใต้แบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (General Equilibrium Model) ในที่นี้มีข้อสมมติว่า ในระยะสั้น การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศยังคงเดิมหรือไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท ส่วนในระยะยาว การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ผลจากการวิเคราะห์พบว่า

- ในระยะสั้นเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 10% จะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDPGDPลดลง 0.4% จากกรณีฐาน ส่วนการลงทุนภายในประเทศลดลง 0.8% ขณะเดียวกันการส่งออกจะลดลง 6.3% และการนาเข้าจะลดลง 5.5% ทั้งนี้การนาเข้าที่ลดลงเกิดจากการหดตัวของความต้องการวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อส่งออก

- ในระยะยาวภายใต้ข้อสมมติว่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศสามารถไหลเข้าออกอย่างเสรีหรือผู้ประกอบการสามารถย้ายฐานการผลิตได้ ผลจากการวิเคราะห์พบว่าเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% การส่งออกจะลดลง 6.2% แต่การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศและการลงทุนในประเทศอาจลดลงมากถึง 17% และ 20% ตามลาดับ โดยรวมแล้วจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ลดลงมากถึง 0.8% จากกรณีฐาน ซึ่งมากกว่าผลกระทบในระยะสั้นกว่าเท่าตัว ทั้งนี้ขึ้นกับว่าผลกระทบนี้จะคงอยู่ในระบบเศรษฐกิจนานเท่าใด หากส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นเวลานาน ความเสียหายต่อเศรษฐกิจย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย (รูปที่ 7)

นอกจากนี้ การวิเคราะห์ผลกระทบต่อการสูญเสียผลผลิตในระยะยาวเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% โดยแบ่งเป็นรายภาคการผลิต (รูปที่ 8) พบว่ากลุ่มผู้ผลิตเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ได้รับผลทางบวกจากการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากต้นทุนนำเข้าสินค้าลดลงประกอบกับภาคการผลิตดังกล่าวมีตลาดในประเทศรองรับ อย่างไรก็ดีผลทางบวกต่ออุตสาหกรรมเหล่านั้นมีค่าน้อยกว่า 2% ถือเป็นผลบวกในระดับต่ำ ต่างจากผลทางลบต่อผลผลิตของอุตสาหกรรมในระยะยาว โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 10% จะทำให้ภาคการผลิตกว่า 60% ของประเทศสูญเสียผลผลิต 0-8% โดยมีผลกระทบในระดับรุนแรงและปานกลางแตกต่างกัน ดังนี้

- ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบระดับรุนแรง คือ ภาคการผลิตที่สูญเสียผลผลิตในระยะยาวระดับ -4% ถึง -8% ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และผลิตภัณฑ์จากแร่อโลหะ เป็นต้น โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วน 11.6% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ

- ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบระดับปานกลางคือ ภาคการผลิตที่มีการสูญเสียผลผลิตระดับ 0% ถึง -4% นำโดยอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์เครื่องจักรอุปกรณ์การขนส่ง และผลิตภัณฑ์จากยางและพลาสติก ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้มีสัดส่วนคิดเป็น 48.4% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ

จากการประเมินผลข้างต้น ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทล้วนเป็นอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อีกทั้งภาพรวมผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวเป็นผลทางลบมากกว่าผลทางบวก และที่สำคัญ เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดต่ำลงอย่างชัดเจนและการลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นับเป็นสภาวการณ์ที่สอดคล้องกับการประเมินผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทดังกล่าวข้างต้น ในระยะต่อไป การรับมืออย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญและจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งกำลังบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออก ลดแรงจูงใจในการลงทุนในประเทศ และกัดกร่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

แม้การบริหารนโยบายทางเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่ผ่านมาจะนามำซึ่งเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ แต่ต้นทุนในระยะยาว คือ การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกผ่านการลงทุนที่ลดลง ดังนั้น การสร้างความสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับการเติบโตในระยะยาว จึงเป็นโจทย์สำคัญต่อไปสำหรับการรับมือกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยที่ “แข็งนอก อ่อนใน”

Source: ThaiPublica

คลิก

-------------------------------------------------------------------------------
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 

Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex

#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you

170225DGS 5208 FX Hanuman Media Buying Banners 843150 TH    

Broker Name Regulation Max Leverage Lowest Spreads Minimum Deposit Minimal Lot Contact
221124 trive logo 100x33px

Trive

FCA, ASIC, FSC 2000:1

0.0 pips -ECN
0.5 pips - Standard

$20 0.01 lot

View Profile

Visits website

121224 ebc forex logo 100x33EBC

FCA ,ASIC, CYAMAN 1000 : 1 1.1 pips - STD
0 pips - Pro
$50 0.01 lots View Profile
Visit Website
020125 eightcap 100x33eightcap  ASIC, FCA, SCB, CySec  500 : 1
1.0 Pips -STD
0.0 Pips - Raw
1.0 Pips - TradingView
$20   0.01 lots

View Profile

Visits website

 

180225 logo fpmarkets 100x33

Fpmarkets

ASIC, CySec  500 : 1

ECN 0.0 Pips
Standard 1.0 Pips

$100 0.01 lots

View Profile

Visits website

http://forex4you.com

Forex4you

FSC of BVI 1000 : 1

0.1 pips - Cent
0.1 pips - Classic
0.1 pips - STP

$1 

0.0001 lot Cent
0.01 lot Classic
0.01 lot STP

Visit website
View Profile

Doo Prime

SEC, FINRA, FCA, ASIC, FSA, FSC 500 : 1 0.1 pips $100 0.01 lots View Profile
Visit Website

 Exness 

CySEC, FCA Unli : 1  Stand
Unli : 1 Raw   
Unli : Zero
0.3 pips – Stand
0 pips – Raw
0 pips – Zero
$1 0.01 lot  Stand
0.01 lot  Raw
0.01 lot  Zero
View Profile
Visit Website

HFMarkets

SV, CySEC, DFSA, FCA, FSCA, FSA, CMA 2000 : 1  0.0 pips $5 0.01 lot View Profile
Visit Website

GMIEDGE

 FCA, VFSC 2000:1 0.1 Pips  $2.5  0.01 lot View Profile
Visit Website

150702 icmarkets logo

IC Markets

ASIC, FSA, CYSEC 1000:1 0.0 pips -ECN
0.5 pips - Standard
$10 0.01 lot

View Profile

Visit website

BDSwiss

FSC, FSA 1000 : 1 1.5 pips - Classic
1.1 pips - VIP
0.0 pips - RAW
$10 0.01 lots View Profile
Visit Website

Pepperstone

ASIC,SCB,CYSEC,DFSA,

FCA, BaFIN, CMA,

200 : 1 1 pips - Stand
0.1 pips - Razor
1 pips - No Swap
0 Pips - Active Trade
0 0.01 lot View Profile
Visit Website

TICKMILL

FCA 500:1 1.6 pips $25 0.01 lot View Profile
Visit website
290318 atfx logoATFX FCA, CySEC 200 : 1 1.8 pips $100 0.01 lot View Profile
Visit Website
170803 roboforex logoRoboForex CySEC, IFSC 2000:1 0.4 pips $10 0.01 lot View Profile
Visit Websit

www.fxclearing.com
FXCL Markets

IFSC 500 : 1

1 pips - Micro
1 pips - Mini
0.6 pips - ECN Li
0.8 pips - ECN Inta
1 pips - ECN Sca

$1 0.01 lot View Profile
Visit website

 

AxiTrader

FCA, ASIC, FSP, DFSA 400 : 1  0.0 pips $1 0.01 lot all View Profile
Visit website

http://www.fxprimus.com

FXPRIMUS

CySEC 500 : 1 2 pips - Mini
0.8 pips - Stand
0 pips - ECN
$100 0.01 lot all View Profile
Visit Website

FXTM

CySec ,FCA,IFSC 1000 : 1

0.0 pips - ECN

0.1 pips -Stan

$1 0.01 lot View Profile
Visit Website

AETOS.COM

AETOS

FCA, ASIC, VFSC, CIMA up to 800

Genneral 1.8 pip
Advance 1.2 pip
Pro 0.0 pip

$50
$50
$20,000

0.01 lot View Profile
Visit website

EIGHTCAP

ASIC 500 : 1 0.0 pips  $100 0.01 lot

View Profile

Visit website

 

Fullerton

SFP, NZBN 200 : 1 0.5 pips - Live $200 0.01 lot View Profile
Visit Website

FxPro

CySEC, FCA
FSB, MiFID
500 : 1
Max
0.6 pips  $100 0.01 lot View Profile
Visit Website

INFINOX

 FCA, SCB 400 : 1 0.0 pips $10 0.01 lot  View Profila
Visit Website

VT markets

CIMA, ASIC 500 : 1 0.0 pips $200 0.01 lot  View Profila
Visit Website

TMGM

ASIC 500 : 1 0.0 pips $100 0.01 lot  View Profila
Visit Website

020422 zfx logo

ZFX

FCA, FSA 2000 : 1 0.0 pips

$15

0.01 lot  View Profila
Visit Website

 

ดูตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ทั้งหมด คลิก

 

 

 

 

 

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"