สาเหตุความล้มเหลวของการกระจายรายได้ : เงินเฟ้อ

ตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเริ่มต้นขึ้น คำว่า ‘เงินเฟ้อ’ ก็กลายมาเป็นหนึ่งตัวชี้วัดการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่เห็นกันอย่างชัดเจนคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้เงินเฟ้อเป็นหนึ่งปัจจัยในการเริ่มขึ้นดอกเบี้ย

เป็นปัจจัยที่จะตัดสินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้นอยู่ในสถานะที่กำลังฟื้นตัวแล้วหรือยัง 

.

อย่างไรก็ตาม การคำนวนอัตราเงินเฟ้อที่หน่วยงานรัฐใช้นั้น อ้างอิงจากค่า CPI (Consumer Price Index) เป็นหลัก หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นค่าที่ใช้วัดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป เช่น อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว บนความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ เงินเฟ้อคือตัวเลขที่บ่งบอกถึงราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ยิ่งราคาสินค้าราคาสูงขึ้นมากเท่าไหร่ นั่นยิ่งแสดงถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงมากขึ้นเท่านั้น
.

ความหมายที่แท้จริงของเงินเฟ้อ
.

สำหรับความหมายทั่วๆ ไป เงินเฟ้อคือการที่สินค้ามีราคาแพงขึ้น แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดี การที่สินค้าและบริการมีราคาแพงขึ้นทุกปี มันแปลว่า เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่ในมือปีนี้ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าในจำนวนเท่าเดิมบนคุณภาพเดิมในปีต่อไปได้อีกแล้ว หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ เงินที่เราทำมาหาได้มาอย่างยากลำบากนั้น มันเสื่อมมูลค่าลงไปในทุกๆ ปี นี่เป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมการออมเงินในธนาคารจึงกลายเป็นความเสี่ยง นั่นเป็นเพราะเงินสามารถเสื่อมมูลค่าได้ผ่านกระบวนการสำคัญที่เรียกว่า ‘เงินเฟ้อ’ นั่นเอง
.

เงินเฟ้อเกิดจากอะไร
.

หลายคนอาจสงสัยว่าอยู่ดีๆ ทำไมในโลกนี้ถึงมีเงินเฟ้อเกิดขึ้นมาได้ ทำไมข้าวของเครื่องใช้ ข้าวปลาอาหารถึงต้องมีราคาที่สูงขึ้นในทุกๆ ปี คำตอบนั้นอันที่จริงมันง่ายมาก สาเหตุของเงินเฟ้อเกิดมาจาก Supply หรือ ปริมาณเงิน ที่พิมพ์เข้ามาในระบบนั้นมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเงินถูกพิมพ์เข้ามาในระบบมากขึ้น เงินในระบบเศรษฐกิจจึงมีมากขึ้น และเงินเหล่านี้ก็ถูกแจกจ่ายไปยังหน่วยย่อยต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ เช่น ธนาคารมีการส่งเสริมการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ ภาคธุรกิจขยายตัวและมีการจ้างงานมากขึ้น เป็นต้น
.

เมื่อเงินมากขึ้น จึงมีความต้องการซื้อที่มากขึ้น เมื่อความต้องการซื้อถูกผลักดันไปข้างหน้า แต่สินค้าที่มีขายมีจำนวนจำกัด ทำให้ราคาสินค้าบริการมีการปรับราคาสูงขึ้น ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า หากปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น จะทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโต หรือ GDP ประเทศเพิ่มสูงขึ้น และพลอยทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมองเผินๆ คนในระบบจะรู้สึกดีเพราะมีเงินใช้จ่ายคล่องมือ แต่หากมองให้ลึกแล้ว ก็จะพบว่ายิ่งใช้จ่ายได้คล่องมือเท่าไหร่ สุดท้ายจะไม่สามารถมีเงินเก็บได้เลยเพราะค่าครองชีพนั้นสูงขึ้นแข่งกับเงินเดือนที่ได้รับในทุกๆ ปี เช่นกัน
.

แล้วเงินเฟ้อมีผลดีต่อใคร ??
.

การที่มีปริมาณเงินในระบบมาก ส่งผลกระทบโดยต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจ เมื่อคนมีเงินใช้จ่ายเยอะ ย่อมต้องมองหาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ภาคธุรกิจเมื่อขยายตัวมากขึ้นก็ส่งผลให้บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้น ผู้ประกอบการเองก็มีมากขึ้นจากตลาดที่คึกคักบน ‘easy money’ ซึ่งธนาคารเองก็พร้อมจะให้สินเชื่อ และฟากผู้ประกอบการเองก็พร้อมที่จะลงทุนเพราะฟากผู้บริโภคมีความเต็มใจที่จะใช้จ่ายเงินในระบบที่มีสภาพคล่องเต็มไปหมด
.

เพราะเหตุนี้ เมื่อบริษัทเติบโต ตลาดหุ้นก็ย่อมต้องเติบโตขึ้นตามบริษัท อสังหาริมทรัพย์เองก็มีราคาสูงขึ้นเพราะมีทั้งผู้บริโภคที่ต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัย มีภาครัฐบาลที่ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน มีภาคธุรกิจที่ต้องลงทุนซื้อที่ดินก่อสร้างบริษัท โรงงาน ในขณะเดียวกัน ฟากนักลงทุนที่มีเงินในมือก็เข้ามาเก็งกำไรในราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งหมดนั้นขับดันให้สิ่งที่เรียกว่า ‘ทรัพย์สิน - Asset’ มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นหรือราคาทีดินก็ตาม และราคาทรัพย์สินเหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะราคาเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ เช่น ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 1-2% แต่ราคาที่ดินนั้นกลับสูงขึ้นทุกปี ปีละประมาณ 10-15% แล้วแต่พื้นที่
.

ไม่ต้องพูดถึงราคาหุ้นว่าตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ซึ่งเป็นนโยบายเพิ่มปริมาณเงินในระบบในปี 2008 ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มสูงขึ้นจากราวๆ 400 จุด มาจนถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 1800 จุด ภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปี หรือประมาณอย่างง่ายๆ คือตลาดหุ้นบ้านเราเติบโตเฉลี่ย 30 - 40% ต่อปีเลยทีเดียว
.

เพราะเหตุนี้ หากถามว่าการสร้างเงินเฟ้อด้วยการเพิ่มปริมาณเงินเข้ามาในระบบใครเป็นผู้ได้ประโยชน์​ คำตอบก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าคือคนที่ถือ ‘สินทรัพย์’ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี อย่างแน่นอนที่สุด
.

ใครสูญเสียผลประโยชน์จากเงินเฟ้อ ??
.

คำถามนี้ก็ตอบได้ไม่ยากเช่นกัน ผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์จากเงินเฟ้อย่อมเป็นผู้ที่ใช้ ‘ประโยชน์’ จากเงินเฟ้อไม่ได้ หรือก็คือคนที่ถือ ‘เงินสด’ เก็บเอาไว้ในธนาคารนั่นเอง อย่างที่กล่าวในตอนต้นว่า เงินเฟ้อคือกระบวนการลดมูลค่าของเงินลง ในเมื่อนโยบายรัฐบาลในทุกๆ ประเทศคือการสร้างเงินเฟ้อ นั่นย่อมหมายความว่าผู้ที่เก็บเงินสดคือผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมคนเราจึงควรต้องมีความรู้ทางด้านการจัดการทางการเงิน เพราะหากปราศจากความรู้ทางการเงินแล้ว ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนเงินสดที่เสื่อมมูลค่าลง ให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าขึ้นได้ เพราะการเปลี่ยนเงินให้เป็นสินทรัพย์นั้น ก็จำเป็นจะต้องมีความรู้ทางด้านการบริหารทางการเงินเช่นเดียวกัน เพราะการลงทุนทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยงซ่อนเร้นอยู่ หากไม่มีความรู้ ความผิดพลาดยามลงทุนก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
.

ดังนั้น ผู้เสียผลประโยชน์จากเงินเฟ้อย่อมเป็นผู้ไร้ความรู้ทางการเงิน ในขณะที่ผู้ได้รับผลประโยชน์จากเงินเฟ้อคือผู้ที่มีความรู้ทางการเงินนั่นเอง
.

เงินเฟ้อกับการความล้มเหลวในการกระจายรายได้
.

เงินเฟ้อเป็นปัจจัยหนึ่ง (แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียว) ที่ทำให้การกระจายรายได้ในประเทศทุนนิยมล้มเหลว ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น คนรวยมีอยู่เพียง 1% ในขณะที่คนจนมีอยู่ถึง 99% และความแตกต่างทางรายได้ระหว่างคนรวยและคนจนก็แตกต่างจนวัดค่าไม่ได้
.

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมประเทศทุนนิยมที่อาศัยการพิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อสร้างเงินเฟ้อถึงล้มเหลวในการกระจายรายได้ภายในประเทศได้ นั่นเป็นเพราะหัวใจของการกระจายรายได้คือการที่คนภายในประเทศมีความสามารถในการทำรายได้อย่างเท่าเทียม แต่เพราะการมีอยู่ของเงินเฟ้อ ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศ​ซึ่งเป็นผู้ที่ออมเงินสดในระบบ ต้องสูญเสียความมั่งคั่งลงไปทุกปี มีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ผิดกับฟากของคนส่วนน้อยที่มีความสามารถในการลงทุนผ่านการซื้อสินทรัพย์และทำธุรกิจ คนเหล่านี้มีความสามารถในการสร้างรายได้บนสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี
.

ดังนั้น เมื่อคนส่วนมากไม่อาจสร้างรายได้บนสินทรัพย์ได้ แต่กลับเป็นคนส่วนน้อยที่เข้าใจการสร้างรายได้บนสินทรัพย์ จึงทำให้ความรายได้ของคนส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจำกัด ในขณะที่คนส่วนน้อยสามารถเพิ่มรายได้จากทรัพย์สินที่มีได้มหาศาล และบนระบบการเงินที่ออกแบบให้ข้าวข้องเครื่องใช้ต้องแพงขึ้นในทุกๆ ปี ผลลัพท์ก็คือความสามารถในการสร้างรายได้ของคนในประเทศมีการกระจายตัวที่ไม่เท่ากัน คนที่จนมีแนวโน้มจนลงเพราะมีรายได้ที่เติบโตแพ้รายจ่ายที่ต้องจ่าย ในขณะที่คนรวยรวยขึ้นบนการเจริญเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ที่พวกเขาลงทุน
.

บางคนอาจเถียงว่าเงินเฟ้อในแต่ละปีเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่บริษัทเพิ่มเงินเดือนให้ 5-10% ในทุกๆ ปี แปลว่ารายได้ควรจะชนะรายจ่ายสิ ประโยคนี้จะเป็นจริงก็ต่อเมื่อคนเราใช้จ่ายเงินเฉพาะในส่วนของค่าครองชีพพื้นฐานเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เริ่มมีความจำเป็นในการซื้อบ้าน ประโยคนี้จะเป็นเท็จไปในทันที เพราะค่าใช้จ่ายจากการผ่อนบ้าน ดอกเบี้ย รวมถึงค่าใช้จ่ายที่มาพร้อมกับบ้านหลังนั้น เช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต และอีกสารพัดรายจ่าย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอัตราเงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์คำนวนไม่สามารถนำมาอ้างอิงกับรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้นได้ เพราะความเป็นจริงคือ สินค้าและบริการบางอย่างนั้นถูกขึ้นราคามากกว่าเงินเฟ้อที่ประกาศโดยกระทรวงฯ และการเป็นหนี้บนการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือซื้อโทรศัพท์มือถือ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รายได้ของคนทั่วไปไม่เคยเพียงพอต่อรายจ่ายเลย
.

ดังนั้น การมีอยู่ของเงินเฟ้อจึงทำให้การกระจายรายได้และความมั่งคั่งของคนในประเทศมีความแตกต่างกัน ผู้ที่ถือเงินสดคือผู้ที่ถือความเสี่ยงเพราะเงินสดมีความสามารถในการเสื่อมมูลค่า แต่หากต้องการเลี่ยงความเสี่ยงจากการเสื่อมมูลค่าของเงิน ก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ด้านการเงินและการลงทุนเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในการถือสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยที่ผู้ลงทุนควรหวังผลตอบแทนที่ชนะการเติบโตในฟากค่าใช้จ่าย เพื่อให้ความมั่งคั่งของตนไม่สูญหายไปกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี นั่นเอง
.

Mei

Cr.DinoTech5.0

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

    

Broker Name Regulation Max Leverage Lowest Spreads Minimum Deposit Minimal Lot Contact

230424 icm 100x33

IC Markets

ASIC, FSA, CYSEC 1000:1

0.0 pips -ECN
0.5 pips - Standard

$10 0.01 lot

View Profile

Visit website

XM

FCA, ASIC,IFSC,
CySec
1000 : 1 1 pips – Micro
1 pips – Standard

0 pips - Ultra low
$5 0.01 lots View Profile
Visit Website

http://forex4you.com

Forex4you

FSC of BVI 1000 : 1

0.1 pips - Cent
0.1 pips - Classic
0.1 pips - STP

$1 

0.0001 lot Cent
0.01 lot Classic
0.01 lot STP

Visit website
View Profile

Doo Prime

SEC, FINRA, FCA, ASIC, FSA, FSC 500 : 1 0.1 pips $100 0.01 lots View Profile
Visit Website

 Exness 

CySEC, FCA Unli : 1  Stand
Unli : 1 Raw   
Unli : Zero
0.3 pips – Stand
0 pips – Raw
0 pips – Zero
$1 0.01 lot  Stand
0.01 lot  Raw
0.01 lot  Zero
View Profile
Visit Website

HFMarkets

SV, CySEC, DFSA, FCA, FSCA, FSA, CMA 2000 : 1  0.0 pips $5 0.01 lot View Profile
Visit Website

GMIEDGE

 FCA, VFSC 2000:1 0.1 Pips  $2.5  0.01 lot View Profile
Visit Website

BDSwiss

FSC, FSA 1000 : 1 1.5 pips - Classic
1.1 pips - VIP
0.0 pips - RAW
$10 0.01 lots View Profile
Visit Website

Pepperstone

ASIC,SCB,CYSEC,DFSA,

FCA, BaFIN, CMA,

200 : 1 1 pips - Stand
0.1 pips - Razor
1 pips - No Swap
0 Pips - Active Trade
0 0.01 lot View Profile
Visit Website

TICKMILL

FCA 500:1 1.6 pips $25 0.01 lot View Profile
Visit website
290318 atfx logoATFX FCA, CySEC 200 : 1 1.8 pips $100 0.01 lot View Profile
Visit Website
170803 roboforex logoRoboForex CySEC, IFSC 2000:1 0.4 pips $10 0.01 lot View Profile
Visit Websit

www.fxclearing.com
FXCL Markets

IFSC 500 : 1

1 pips - Micro
1 pips - Mini
0.6 pips - ECN Li
0.8 pips - ECN Inta
1 pips - ECN Sca

$1 0.01 lot View Profile
Visit website

 

AxiTrader

FCA, ASIC, FSP, DFSA 400 : 1  0.0 pips $1 0.01 lot all View Profile
Visit website

http://www.fxprimus.com

FXPRIMUS

CySEC 500 : 1 2 pips - Mini
0.8 pips - Stand
0 pips - ECN
$100 0.01 lot all View Profile
Visit Website

FXTM

CySec ,FCA,IFSC 1000 : 1

0.0 pips - ECN

0.1 pips -Stan

$1 0.01 lot View Profile
Visit Website

AETOS.COM

AETOS

FCA, ASIC, VFSC, CIMA up to 800

Genneral 1.8 pip
Advance 1.2 pip
Pro 0.0 pip

$50
$50
$20,000

0.01 lot View Profile
Visit website

EIGHTCAP

ASIC 500 : 1 0.0 pips  $100 0.01 lot

View Profile

Visit website

 

Fullerton

SFP, NZBN 200 : 1 0.5 pips - Live $200 0.01 lot View Profile
Visit Website

FxPro

CySEC, FCA
FSB, MiFID
500 : 1
Max
0.6 pips  $100 0.01 lot View Profile
Visit Website

INFINOX

 FCA, SCB 400 : 1 0.0 pips $10 0.01 lot  View Profila
Visit Website

VT markets

CIMA, ASIC 500 : 1 0.0 pips $200 0.01 lot  View Profila
Visit Website

TMGM

ASIC 500 : 1 0.0 pips $100 0.01 lot  View Profila
Visit Website

020422 zfx logo

ZFX

FCA, FSA 2000 : 1 0.0 pips

$15

0.01 lot  View Profila
Visit Website

 

ดูตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ทั้งหมด คลิก

 

 

 

 

 

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"