ธุรกิจ Content ผ่านรายงานประจำปีของ Netflix

"กองทัพอัลบาเนี่ยนจะครองโลกเหรอ ผมว่าไม่นะ" นี่คือคำพูดที่ผู้บริหาร Time Warner พูดถึง Netflix ในปี2010 สมัยนั้นคงยากที่จะคาดการณ์ว่าการดูหนังออนไลน์จะมาแทนที่การดูหนังผ่านเคเบิ้ลได้ยังไง

แล้วจะริอาจมาสู้กับ HBO ของตนได้เชียวหรือ !! แต่เมื่อภาพตัดกลับมาที่ปี 2015 การมาถึงของยุค Smart Phone และ อินเตอร์เนท 3G ผลปรากฏว่างบการทำหนังของ Netflix ก็สูงกว่า HBO เป็นที่เรียบร้อย ! Block Buster ร้านเช่าวีดีโอที่ปรับตัวไม่ทันก็ต้องปิดตัว เดินคอตกจากไป เหลือไว้แต่เพียงสาขาที่อลาสก้า สถานที่ที่ศัตรูตัวฉกาจอย่างอินเตอร์เนทไปไม่ถึง

มาดูธุรกิจ Content ผ่านรายงานประจำปีของ Netflix กันครับ

---หนังเถื่อน---
เมื่อมาถึงยุคดิจิตอล เราสามารถโหลดสื่อ Digital อย่างภาพยนต์และเพลงไปฟังฟรีๆแบบผิดกฎหมายได้!! ซึ่งทั้งนี้มันได้ทำลายอุตสาหกรรมนี้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจเพลงที่ได้ล้มโครมมาแล้ว 14ปี และไม่มีแววว่าจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน
ดังนั้นการให้บริการจึงจำเป็นต้องเรียกเก็บค่าสมาชิก และราคาสมาชิกต้องตำ่มากๆ จนคนดูรู้สึกคุ้มค่าและสะดวกกว่าการไปหาโหลดภาพยนต์เถื่อน นอกจากนี้ยังต้องจัดทำเป็นระบบสมาชิกเพื่อป้องกันการ Copy กระจายออกไปให้คนอื่นดู

---การแข่งขันที่สูงมาก---

ในปี 13 Netflix ประกาศตัวเองว่าจะคว่ำ HBO ทั้งนี้ Ted Sarados คนกุม Content ของ Netflix ประกาศว่า " เราจะกลายเป็น HBO ให้เร็วกว่าที่ HBO จะกลายเป็นเรา" ถึงวันนี้จะพิสูจน์แล้วว่า Netflix เติบโตอย่างรวดเร็วขนาดที่รายได้โตขึ้นถึง 20-30%ติดต่อกันมาหลายปี แต่พอขึ้นมาถึงจุดนี้ การแข่งขันยิ่งยากขึ้นไปอีก (อ้าว เอ้ะยังไง)

ทุกคนรู้ดีว่า Disney คือสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก #Disney นอกจากจะเป็นเจ้าของ ABC ESPN Lucas และ Marvel ต่อมาก็ยังกว้านซื้อ 21st Century Fox (Nat Geo, sky) ซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะคุม Content ต่างๆทั่วโลก ทั้งภาพยนต์ รายการโทรทัศน์ สารคดี ข่าว นอกจากนี้ยังมี Netflix ยังมีคู่แข่งที่สู้กันมาหลายปีอย่าง #AT&T ที่มี Warner Brother HBO CNN และ DC Comics

ที่ตกที่นั่งลำบากคือค่ายที่กำลังทรัพย์สู้ไม่ได้ อย่าง #Viacom เจ้าของ Paramount Picture ทั้งๆที่มีหนังดังอย่าง Mission Impossible และ Transformer ยังเทรดที่ PE 5 เท่า หรือ #CBS ที่สถานการณ์ก็ไม่สู้ดีนัก

ต่อมาเมื่อ Disney ประกาศจะถอน Content ทั้งหมดออกจาก Netflix ในปี 2019 แล้วเอามาทำเอง Netflix จึงไม่มีทางเลือกแต่ต้องเร่งสร้าง Original Content ที่เป็นของตัวเอง ซึ่งยากมากหากจะมาเทียบ กับขาใหญ่ เก๋าเกมอย่าง Disney ที่อยู่มานาน 90 ปี

---Digital Asset---

เพื่อความอยู่รอด Netflix จำเป็นต้องสร้างคลังภาพยนต์ของตัวเองให้ใหญ่กว่าคู่แข่ง ผลการสำรวจในปี 2016 Netflix ตีมูลค่า content ของตัวเองอยู่ประมาณ $1.1หมื่นล้าน ใหญ่กว่า Time Warner เล็กน้อย และใหญ่กว่าเจ้าที่เหลือรวมกัน (VIA, discovery, AMC และ Scripps) และภายในไม่ถึงสองปี ตอนนี้คลังภาพยนต์ของ Netflix มีมูลค่าถึง $1.8หมื่นล้านแล้ว ซึ่งหากเอาเฉพาะแค่ 5 เดือนแรก หนังที่ Netflix ผลิตออกมาเฉพาะในปี 2018 หากจะดูให้หมด ต้องใช้เวลาทั้งหมด 650 ชั่วโมง!! (27 วันแบบไม่หลับไม่นอนกันเลยทีเดียว)

การสร้าง Digital Asset นั้นไม่เหมือนกับซื้อบ้านซื้อรถ ในแง่ที่ว่าเมื่อสร้างมาแล้วมันจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป ไม่มีการเสื่อมสลายและทำรายได้ให้เราไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่มันยังฮิตอยู่ เพราะฉะนั้นแผนการสร้างหนังของ Netflix คือ สร้างให้แหวกแนว !!! อย่าไปกลัวความล้มเหลว เรื่องไหนสร้าง season 1 ไปแล้วผลตอบรับไม่เวิร์ค แม้จะลงทุนเป็นล้านเหรียญก็สามารถยกเลิกการสร้างไปได้เลย คุณ Reed Hasting CEO เคยให้สัมภาษณ์ว่า "ผมพยายามผลักดันทีมสร้าง Content ว่าเราต้องกล้าเสี่ยงมากขึ้น คุณต้องกล้าลองไอเดียบ้าๆ เพราะถึงอัตราการล้มเหลวสูงขึ้น แต่คุณก็ได้กล้าลองอะไรใหม่ๆมากขึ้น" ทั้งนี้เพื่อให้ได้หนังฮิตติดตลาดสักเรื่อง (จึงได้ 13 Reason why ออกมา) เพื่อผลักดันให้ยอดสมาชิกสูงขึ้นและเป็นรายได้กลับมาเป็นทุนในการสร้างหนังเรื่องต่อไป โดยจุดวัดคือ Emmy Nomination รางวัลรายการทีวียอดเยี่ยม ซึงในปี 2017 รายชื่อหนังเข้าชิงของ Netflix ได้สูงกว่า HBO ครั้งแรกในรอบ 18 ปีตั้งแต่ HBO ครองบัลลังค์รางวัลนี้มา

---กระแสเงินสดติดลบต่อเนื่อง กู้หนี้มากเกินรายได้หลายเท่าตัว---

จากสถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้พอเข้าใจว่าบริษัทต้องใช้เงินทุกเหรียญที่หามาได้ไปสร้างDigital Asset ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกู้ให้เต็มวงเงินที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อต้นปียอดเติบโตของกำไรเกือบทำให้คิดว่ากระแสเงินสดของบริษัทจะดีขึ้น แต่บริษัทก็ตบหน้าผู้ถือหุ้นแรงๆให้ตื่นจากฝันละเมอด้วยการประกาศให้ผู้ถือหุ้นอย่ามองในแง่บวกแบบนั้น Netflix จะใช้เงินติดลบต่อๆไปอีกหลายปี

++นึกภาพบริษัทที่ทำกำไรปีละ $500ล้าน
++เงินสดเหลือปัจจุบันเหลือ $3900ล้าน
--ประกาศจะใช้กระแสเงินสด $8000ล้าน
--หนี้จากการออกตราสารหนี้รวม $8000ล้าน

ตัวเลขค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้หลายเท่า

เงินทุกบาทที่หามาได้1ใน3ต้องเอาไปจ่ายดอกเบี้ย (interest coverage ratio 3 เท่า) แต่ต่อไปดอกเบี้ยสหรัฐขึ้นปีละ 1% จึงคาดได้ว่าต่อไป Netflix จะต้องกู้แพงขึ้น ทาง CFO บอกว่าเทียบกับที่รัฐบาลทรัมป์ลดภาษีให้ ยังถือว่าคุ้ม ซึ่งก็ต้องดูต่อไป

แม้เงินจะดูตึงตัว แต่บริษัทก็ไม่ตัดค่าใช้จ่ายใดๆทิ้ง
--อัดโฆษณาเพิ่มเท่าตัวจากปีก่อน เพื่อหวังให้หนังออกใหม่ฮิตจนได้ Emmy Nomination เพิ่ม
--แล้วก็ขึ้นชื่อเรื่องจ่ายเงินเดือนพนักงานสูงกง่ามาตรฐาน สามารถลากี่วันก็ได้ และขยายการจ้างงานเพิ่มจากการขยายไปตลาดโลก ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพนักงานไม่ลดเลย
--ค่า Infrastructures ซึ่งควรจะลดลงถ้าได้คนดูเพิ่ม แต่ก็ดูจะไม่ได้ลดลงเลยจากมาตราการการวางระบบใหม่ๆเพิ่ม หากการเติบโตของรายได้ยังเติบโตเป็นเท่าๆต่อเนื่อง ถ้าวันใดรายได้สูงกว่างบลงทุนสร้างหนัง Original กระแสเงินสดก็จะกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง (คาดการณ์กันว่าอีก3ปี) แต่กว่าจะถึงวันนั้นถ้าบริษัทหยุดโต Netflix ก็อาจโดนหนี้ที่สร้างพังลงมาทับตัวเอง

ไม่รู้ว่าNetflixใช้Modelธุรกิจแบบนี้จะรุ่งหรือร่วง ตลาดนี้คือผู้เล่นต่างต้องสร้างแบรนด์และสะสมคลังภาพยนต์คุณภาพให้ได้มากที่สุด ก็ต้องดูกันต่อไป นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่า ยักษ์หลับ Apple จะเข้ามาสู่ตลาดนี้

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจในการวิเคราะห์ธุรกิจสมัยใหม่และแฟนซีรีย์ครับ

บอม

Image Sources:

https://pbs.twimg.com/media/DUP8N3YWkAATxS4.jpg 

https://twitter.com/jimharris/status/1012072609335267328?lang=ar 

คลิก

other Sources:

คลิก

https://www.slideshare.net/a16z/mobile-is-eating-the-world-20162017 

https://www.investopedia.com/news/analyzing-netflixs-spending-content/ 

https://en.wikipedia.org/wiki/Media_conglomerate 

คลิก

คลิก

คลิก

คลิก

Cr.DinoTech5.0

บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"