สวัสดี “ยอดมนุษย์เงินเดือน” ทุกท่าน รวมถึงตัวดิฉันเอง ก็คงเลือกไม่ได้นะคะ ถ้าหากไม่ได้เกิดมาในบ้านที่ร่ำรวย มีกิจการเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่แล้วเด็กทุกคนก็ตั้งใจเรียน เติบโตขึ้นมา เพื่อจะได้มีงานที่ดี อยู่ในบริษัทใหญ่โตที่มั่นคง
และก็รับเงินเดือนสูงๆ หลายคนก็ทำตามความตั้งใจได้ และหลายคนก็อาจจะไม่ได้งานดั่งใจตนเอง ส่วนตัวโชคดีที่พยายามจนได้ทำงานที่ต้องการ แต่น่าแปลกใจมาก ตอนเรียนจบ ป.ตรี เรารู้สึกว่าเริ่มต้นเงินเดือนน้อย บางเดือนก็แทบไม่เหลือเงินเก็บ แต่หลังจากจบป.โท เงินเดือนเพิ่มขึ้น ปัญหาเดิมๆก็ยังคงมีอยู่ รายจ่ายอะไรไม่รู้มากมาย เช่น ค่าเช่าคอนโด, ค่าน้ำ-ไฟ-เน็ต-โทรศัพท์, ค่ามือถือ ฯลฯ เงินเข้ากระเป๋าสตางค์มาแปบๆ ก็เหมือนปลิวได้ ปลิวออกจากมือเราไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ถึงสินเดือนเลยตัวก็เบาหวิว ดิฉันยังโชคดีที่เพียงแค่ไม่เหลือเงินให้เก็บออม แต่เพื่อนๆที่รู้จักหลายคน มีการติดลบ เช่น ยืมเงินคนอื่น, เป็นหนี้บัตรเครดิต หรือ อื่นๆ
ด้วยความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับการเงิน จึงค่อยศึกษาความรู้ด้านการเงินและการลงทุนต่างๆ และพอจะมีพื้นฐานจากที่เรียนบริหารธุรกิจมาบ้าง จึงทำความเข้าใจ และเริ่มที่จะปรับการบริหารเงินของตัวเอง จนกระทั่งเริ่มมีทั้ง เงินออม เงินลงทุน และยังมีเงินไว้ให้รางวัลกับตัวเอง ทั้งช็อปปิ้ง แล ท่องเที่ยว ได้อย่างไม่กระทบเงินออม จึงอยากนำประสบการณ์ส่วนตัวมาแชร์ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ
เริ่มต้นด้วยวิธีง่ายๆเลย เริ่มต้นจากการกำจัดรายจ่ายที่มหาศาลก่อน ยิ่งผู้หญิงแล้วมีรายจ่ายแบบไม่รู้ตัวเยอะมาก เจออะไรก็ชอบไปหมด อยากไปแทบทุกอย่าง ตั้งคำถามกับตัวเองก็ว่า “จำเป็น หรือ แค่อยากได้?” จดบันทึกรายจ่ายจำเป็นไว้ แล้วหากรายจ่ายจำเป็นส่วนใด เกินความจำเป็นก็ปรับลดลงมา เช่น โปรมือถือ กับค่าเน็ต หากมีเน็ตวายฟายแล้ว โปรมือถือก็เอาที่ใช้ได้เท่าที่จำเป็นข้างนอก ส่วนตัวเคยใช้โปรมือถือพันกว่าบาท เพราะรู้สึกว่าคุ้ม ได้เน็ตเยอะ นาทีโทรก็เยอะ แต่ก็ไม่เคยใช้ทั้งเน็ต ทั้งนาทีโทรหมดเลยสักเดือน เพราะกลับบ้านก็ใช้วายฟาย อยู่ที่ทำงานก็มีวายฟาย เป็นต้น การจะเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ต้องถามว่า “จำเป็น หรือต้องการ?” หากต้องการเราควรมีวิธีที่ดีในการจัดการเพื่อให้ได้มาโดยไม่กระทบกับเงินที่จะใช้-จ่าย เก็บออม และลงทุน ซึ่งจะกล่าวในขั้นถัดไป
ลำดับถัดไป หลังจากเรารู้รายจ่ายจำเป็นแล้ว เราก็จะรู้ว่าจริงๆแล้ว รายรับของเรา จะเหลืออีกเท่าไหร่ ส่วนตัวไม่ชอบให้ชีวิตอึดอัดมากนัก จึงไม่ได้ใช้สูตร (รายรับ-เงินออม) แต่หากท่านใดมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ดิฉันขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นวิเคราะห์รายจ่ายทุกอย่าง ตัดทุกรายจ่ายที่ไม่จำเป็นให้ได้ และมีวินัยกับการใช้จ่ายให้มากขึ้น ถ้าให้ดีแล้วเราควรมีรายจ่ายจำเป็น ประมาณ 50% ของรายได้ (ควรร่วมการสังสรรค์ หรือเข้าสังคมไปเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็นในสังคมการทำงาน) แต่ใครที่สังสรรค์กับเพื่อนบ่อยมาก ก็ควรจะรู้ว่าต้องลดลงหรือสังสรรค์ในรูปแบบที่ประหยัดขึ้น หากคุณต้องการจะสร้างอนาคตการเงินที่ดี
ค่าใช้จ่ายจำเป็นในความหมายของดิฉันนั้นรวม รายจ่ายสำหรับชีวิตประจำวันต่างๆ และพื้นฐานที่สำคัญของชีวิต คือ ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุ เท่าที่จำเป็น เพราะเป็นการจำกัดความเสี่ยง ไม่ให้เวลาป่วย หรือประสบอุบัติเหตุแล้วมากระทบกับเงินส่วนอื่นๆในชีวิต หลังจากนั้นตามวัฒนธรรมของสังคมไทยที่ดี ลูกควรดูแลบุพการี ถึงแม้ว่าคุณพ่อ คุณแม่จะไม่ต้องการเงินของเรา แต่ถ้าให้พวกท่าน ก็คงทำให้ท่านมีความสุข แบ่ง 10% ดูแลคุณพ่อคุณแม่ สร้างความสุขในครอบครัว ก็จะคิดเป็น 60% ของรายได้แล้ว ซึ่งใช้เพียงแค่การวิเคราะห์ส่วนตัว และวินัยก็สามารถที่จะจัดการได้ดี
อีก 40% ของรายได้ เป็นส่วนที่ไว้ใช้เพื่อออม และความสุขของเราเอง เป็นส่วนที่หากคุณมีความพยามยาม และสร้างสรรค์แผนการลงทุนคุณดีๆ เงินเล็กๆก้อนนี้ จะเพิ่มพูล ตอบแทนคุณด้วย “กำไร” ให้คุณได้ให้รางวัลตัวเองได้มากขึ้น หรือบางครั้งก็เหมือนไม่ได้ควักเงินตัวเองเลย เทคนิคและเคล็ดไม่ลับของการลงทุนต่างๆ สามารถติดตามได้ในตอนหน้า
โดย นิรมล นิตย์นิธิพฤทธิ์ (นักวิเคราะห์การเงิน, Olymp Trade)
บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman