เราเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร???? จุดที่....การเติบโตของ GDP โลกไม่เพียงพอที่จะจ่าย..ดอกเบี่ย เราไม่ต้องพูดว่าจะจ่ายคืน...เงินต้น..ที่จะไม่มีวันจ่ายได้อีกต่อไป เราคิดแบบ...มักง่าย..นะครับ
โลกมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ $80 ล้านล้าน (ย้ำ..ล้าน 2 ตัวนะ)
IMF ประเมินว่า...เศรษฐกิจโลกจะโตประมาณ 3.9% อะ แถมให้เป็น 4%
.......เศรษฐกิจโลกจะโต....$3.2 ล้านล้าน.......
- แต่ทั้งโลกมีประมาณ...หนี้...ทั้ง 4 ส่วนรวมกันสูงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกคือประมาณ.....$237 ล้านล้าน
ถ้าคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2%
จะต้องจ่ายดอกเบี้ย $4.74
เฉลี่ย...3%...จะจ่ายดอกเบี้ยประมาณ .... $7.1 ล้านล้าน
เฉลี่ย...4%...จะจ่ายดอกเบี้ยประมาณ .... $ 9.48 ล้านล้าน
เราเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร....จุดที่การเติบโตของเศรษฐกิจไม่พอที่จะจ่ายดอกเบี้ยอีกต่อไปแล้ว
เราจะได้ฟังจากสื่อ....ว่าโลกจะเติบโต....แต่พวกแหม่ง...ไม่เคยพูดถึงหนี้และอัตราดอกเบี้ย....ที่ต้องจ่ายกันเลย
(ไปดูคลิปก่อนหน้านี้นะครับ)
เราจะได้ยินว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะโต 3-4% อะ ให้มัน 4% เลย
เศรษฐกิจอเมริกามีขนาด GDP $17ล้านล้าน
โต 4%.....$0.68 ล้านล้าน
แต่.....โดนัน ดัก...ต้องขยายเพดานหนี้ $2 ล้านล้าน
และไม่เคยมีใครบอกว่า....ต้องสร้างหนี้...$2ล้านล้าน
เพื่อ....ให้เศรษฐกิจโต $0.68 ล้านล้าน
กำลังเกิดผลกระทบในระดับ Super Nova
ในส่วนของ Corporate
เราจะเห็นว่า....บริษัทเอกชน..สร้างหนี้ หรือ Leverage สูงที่สุด
บริษัทเอกชนจะสร้างหนี้ใน 2 ลักษณะหลักๆคือ
- การกู้เพื่อ...มาลงทุนในกิจการ ผลิตสินค้า
- การกู้เพื่อ..ขยายกิจการ..หรือ..ซื้อกิจการ การกู้ในส่วนนี้คือ...การกู้มาซื้อหุ้น ทั้งในรูปแบบ Private Equity , Joint Venture หรือซื้อกิจการในตลาดหุ้นทั่วโลก
เราจะได้ยินในส่วนนี้คือ....การสนับสนุนทางการเงินเพื่อมาซื้อกิจการ
(แต่ถ้าเป็น...แมลงเม่า..จะเรียกว่า...ขอมาร์จิ้น..ซื้อหุ้น...ซึ่งมีความหมายเดียวกัน รายละเอียดต่างกันนิดหน่อย
แต่คำว่า...มาร์จิ้น..จะให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเท่าไร)
ดังนั้น...แท้ที่จริงแล้ว....Equity คือ Debt แล้ว Debt ก็จะเป็น Equity หรือ Equity ส่วนใหญ่คือ Debt ที่ซ้อนกันเป็น Complex System
นั้นคือ...เหตุผลว่าทำไม...ตลาดหุ้นจะพังไม่ได้
เพราะถ้าตลาดหุ้น...พัง..เมื่อไร..ระบบของธนาคาร..ตราสารหนี้จะล้มเป็น...โดมิโน
ยังไม่รวม...Equity ที่ ไปค้ำประกันเงินกู้
ถ้าตลาดหุ้น...พัง..ระบบสถาบันและตราสารการเงิน
ที่ผูกกันทั้งโลก เป็น Complexity จะเกิดผลกระทบแบบ Dynamic จากการ Mark to Market ของ Asset Price
และที่สำคัญที่สุด....หนี้...ที่ผ่านมาถูกสร้างขึ้นบนอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์
บริษัทต่างๆถึงได้...กู้เงินกันจนเต็ม..เพดาน
ยกตัวอย่าง บริษัท A
Asset: 500,000 ล้าน
Debt 450,000 ล้าน
Equity 50,000 ล้าน
แต่มี
รายได้ 300,000 ล้าน
กำไร 20,000 ล้าน
ถ้าอัตราดอกเบี้ยขึ้น 1% จะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย 4,500 ล้าน
ขึ้น 2% จะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย 9,000 ล้าน
ขึ้น 3% จะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย 13,500 ล้าน
สิ่งที่บริษัทต้องทำมี 2 อย่างคือ
ทางบวก...จะต้องเร่งยอดขาย...
แต่..จะเร่งได้อย่างไรเมื่อ..คนทั้งโลก..เป็นหนี้กันจนเต็มเพดาน
เงินเดือนก็ไม่ขึ้นให้...เพราะ...พนักงานก็คือ..ค่าใช้จ่าย
และยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มอีก
ส่วนกิจการเล็กๆ ก็ไม่ปล่อยกู้
หรือเคยปล่อยกู้...แต่มันเอาเงินไปทำทุกอย่าง..ยกเว้น..สิ่งที่ต้องทำ
ทางลบ...ก็จะก่อหนี้...ให้ล้น
ยกตัวอย่างกรณีบริษัทในประเทศไทยที่ชื่อเหมือนโลก ทำพลังงาน
ที่แจ้งตลาด..ลักทรัพย์ว่า มี
Asset 35,000
Debt 25,000
Equity 10,000
แต่.....มีเจ้าหนี้มาร้องประมาณ 150,000 ล้าน
คำถาม...หนี้มาจากไหน
คำตอบ...ทำไม่ยากหรอกครับ..ขอให้เอาเข้าตลาด...ลักทรัพย์
ให้ได้ก่อน
อันนี้แค่ตัวอย่าง...เล็กๆ ในประเทศโลกที่ 3
แต่...ในระดับโลก....ทำซับซ้อนกัน..ยิ่งกว่านี้อีกคร้าบบบ
ส่วนผลกระทบส่วนอื่นๆ รอตอนต่อไปนะคร้าบบบ
เพราะ.....
This is the crisis.
The greatest crisis in the history of mankind.
ทวีสุข ธรรมศักดิ์
ปล.เวลาเขียนพวกนี้ที่ไร..
จะมีพวกไร้ปัญญาแต่อยากเป็น กูรู้
ก็อปเอาไปสร้างภาพ แต่กลวงกลาง
ทำให้สะท้อนวุติภาวะ
การอบรมสั่งสอนจากครอบครัว
และสถาบันการศึกษา
ดังนั้นจะก็อปก็กรุณาเอาไปให้หมด
บทความสนับสนุนโดย FXPro.com
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman