'ญี่ปุ่น'ชูศักยภาพ'อีอีซี'ศูนย์กลางฐานผลิตอาเซียน

ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมาต่อเนื่องในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา โดยเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไทยและญี่ปุ่นมี ความร่วมมือที่จะสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในอีอีซี สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของญี่ปุ่น ตามข้อริเริ่ม Asia-Japan Investing for the Future หรือ AJIF ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่มี ประสิทธิภาพและยั่งยืนได้ในอนาคต
สำหรับนโยบาย AJIF ของญี่ปุ่นจะสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย ซึ่งขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กำหนดแนวทางการดึงญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC ประกอบด้วยการเพิ่มศักยภาพให้ EEC เป็นส่วนซัพพลายเชนญี่ปุ่น เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมอากาศยาน
รวมทั้งส่งเสริมการลงทุน "คาร์บอนต่ำ" ครอบคลุมยานยนต์สมัยใหม่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะใน EEC ซึ่งจะชวนบริษัทญี่ปุ่นที่สนใจมาลงทุนพัฒนาเมือง
Takashi Toyoda Country Head of Thailand and General Manager ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่นกล่าวว่า EEC ถือเป็นพื้นที่ศักยภาพในการลงทุนแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยยังเป็นฐาน การผลิตที่สำคัญของภาคเอกชนญี่ปุ่น ซึ่งตั้งแต่ที่มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศ ทำให้ทั้งสองประเทศมีการติดต่อเจรจาธุรกิจระหว่างกันทั้งภาครัฐ และเอกชน
โดยความร่วมมือครั้งนี้ ธนาคารจะร่วมมือกับ สกพอ.ในการให้ข้อมูลและสนับสนุนทางการเงินแก่นักลงทุนญี่ปุ่นที่กำลังตัดสินใจอยากเข้าไปลงทุนในพื้นที่ EEC รวมถึงนักลงทุนในพื้นที่ที่มีความต้องการขยายความลงทุน
ทั้งนี้ การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เพื่อความร่วมมือในการฟื้นฟูภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศจากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านกลไกที่สนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC ในอุตสาหกรรรมต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจบีซีจี อุตสาหกรรมไฮเทค พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (Technology-base Industry)
Takuro Tasaka Minister and Chief of Economic Division Embassy of Japan กล่าวว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังให้ความสนใจประเทศไทยในการที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากตลาดในไทยยังมี ศักยภาพในการเติบโต อีกทั้งยังได้เปรียบด้าน ที่ตั้งซื่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของอาเซียน รวมถึงการมีต้นทุนจากสภาพแวดล้อม (Ecosystem) จากการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นที่ผ่านมา ทำให้สะดวกต่อการลงทุนเพิ่มเติมและการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์
รวมทั้งเป็นการสานต่อการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านห่วงโซ่อุปทานที่ประเทศไทย เป็นหนึ่งในฐานการผลิตและส่งออกที่สำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่นในภูมิภาคอาเซียน
"อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนญี่ปุ่นซึ่งลงทุนในไทยได้สะท้อนความเห็นกลับมาว่ามีความต้องการให้ภาครัฐไทยเร่งแก้ กฎระเบียบเกี่ยวกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ และการสร้างระบบภาษีที่เอื้อต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องการสนับสนุน เพื่อเร่งให้เกิดความง่ายต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐของทั้งสองประเทศทั้งสองประเทศได้มีร่วมมือกันเพื่อแก้ไขกฎระเบียบบางส่วนแล้ว อาทิ กฎระเบียบเกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์"
สำหรับภาพรวมการลงทุนจากญี่ปุ่นใน EEC ปี 2564 พบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นที่ได้รับการออกบัตรส่งเสริมจากบีโอไอ มีมูลค่ารวม 19,445 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2565 มีมูลค่าการออกบัตรจากนักลงทุนญี่ปุ่นรวม 3,240 ล้านบาท ถือเป็นประเทศที่อยู่อันดับ 1 ที่สนใจเข้ามา ลงทุนในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและศักยภาพใน EEC ที่เกิดความก้าวหน้า ด้านโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น สนามบิน อู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและ 5G อีกทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมและทักษะที่ตรงตามความต้องการของตลาดอย่างเป็นรูปธรรม ที่ได้สร้างความมั่นใจการเข้าลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น เพิ่มการลงทุนในพื้นที่อีอีซีต่อเนื่อง
คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออกล่าวว่า สกพอ.ได้ลงนาม เอ็มโอยูกับธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ SMBC เชื่อมโยงนักลงทุนไทย-ญี่ปุ่น ดึงรายใหม่และสนับสนุนรายเดิมขยายการลงทุนในพื้นที่ EEC เป็นการต่อยอด ความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
ก่อนหน้านี้ สกพอ.เคยได้มีความร่วมมือ กับธนาคารมิซูโฮ คอร์ปอเรต จำกัด ในลักษณะ เดียวกัน ซึ่งการร่วมมือกับธนาคารต่างชาติ ถือเป็นแนวทางในการดึงนักลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นและ นักลงทุนจีน โดยมีธนาคารเป็นผู้เชื่อมโยงนักลงทุนกับ สกพอ.
สำหรับธนาคาร SMBC เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีเครือข่ายนักลงทุนมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และมีการขยายสาขาเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2495 โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสองหน่วยงานครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นในโอกาสพิเศษที่ธนาคาร SMBC ครบรอบ 70 ปี การให้บริการในประเทศไทย
นอกจากนี้ ภายใต้ความร่วมมือกับธนาคาร SMBC ในครั้งนี้ จะเป็นการสนับสนุนการลงทุนให้เข้าสู่ยุคใหม่ ผลักดัน ให้เกิดการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทยและภาคเอกชนญี่ปุ่น ทั้งในด้านเทคโนโลยีและภาคการผลิต ผ่านกลไกการส่งเสริมการลงทุน โดยมีธนาคาร SMBC เป็นผู้ให้คำแนะนำการลงทุน โดย สกพอ. ตั้งเป้าให้เกิดการจับคู่ทางธุรกิจและการลงทุนราว 30-40 บริษัท
โดย ชนาภา ศรจิตติโยธิน
Source: กรุงเทพธุรกิจ

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านารเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"