Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ เป็นสัญญาณบ่งชี้อะไร?

พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US treasury bills/notes/bonds) มีหลากหลายช่วงอายุ ตั้งแต่อายุ 1 เดือน ไปจนถึงอายุ 30 ปี แต่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เป็นข่าวมากที่สุดจะเป็นผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี

จริงๆแล้ว โดยตัวของมันเอง ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ไม่ได้มีความสำคัญกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรอายุอื่นมากนัก แต่เมื่อเอาไปประกบกับข้อมูลอื่นกลับกลายเป็นเครื่องชี้นำเศรษฐกิจที่มีความแม่นยำทางสถิติสูงในสองมิติ
โดยเมื่อเอาไปเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี จะเป็นเครื่องชี้นำการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ และเมื่อเอาไปเทียบกับผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นสหรัฐจะเป็นเครื่องชี้นำการแตกสลายของฟองสบู่ตลาดหุ้น
ในมิติแรก โดยปรกติแล้ว เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield curve) จะมีลักษณะลาดชันขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น เพราะนักลงทุนต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ต้องแช่เงินลงทุนไว้
แต่ในบางครั้งจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า inverted yield curve ที่อัตราผลตอบแทนระยะสั้นกลับสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว
ในบางช่วงหรือตลอดทั้งเส้นของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยช่วง inverted yield curve ที่นักลงทุนติดตามมากสุดจะเป็นช่วงระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 ปีกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี (2y-10y inversion)
สัปดาห์ที่แล้ว และต่อเนื่องมาสัปดาห์นี้ เกิดเหตุการณ์ฮือฮาในตลาดที่เกิดปรากฏการณ์ 2y-10y inversion ชั่วคราว
. ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เกิดปรากฏการณ์นี้ คือ เดือนสิงหาคม 2562 ก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2563
จากรายงานของ Bank of America (US Rates Watch: Curve inversion has arrived เผยแพร่วันที่ 30 มีนาคม 2565) ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ 8 ใน 8 ครั้งล่าสุด เกิดขึ้นหลังเกิดปรากฏการณ์ 2y-10y inversion ในช่วงเวลาไม่เกิน 20 เดือน ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า
ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะมีผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐถึงร้อยละ 17.7 ในปี 2564 และยังไม่ฟื้นตัวเป็นปรกติจากวิกฤตโควิด-19
อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ว่า ทำไม 2y-10y inversion จึงนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากเป็นการสะท้อนการคาดการณ์ของผู้เล่นในตลาดเงินว่า ในอนาคตธนาคารกลางสหรัฐจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอ ซึ่งเราก็ทราบกันดีว่าในหลายเรื่องตลาดไม่ได้คาดการณ์ได้ถูกต้องทุกครั้ง
ที่สำคัญคือ 2y-10y inversion ไม่ได้บอกเราว่า จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นเมื่อไร ตัวอย่างเช่น ก่อนช่วงวิกฤตดอท-คอมในปี 2551 เกิดปรากฏการณ์ 2y-10y inversion รวม 4 ครั้ง
โดยครั้งแรกเกิดก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอยนานถึง 65 เดือนหรือมากกว่า 5 ปี ซึ่งนักลงทุนที่เชื่อสัญญาณครั้งแรกคงเสียโอกาสไปไม่น้อย
ในอีกตัวอย่างหนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เพียง 5 เดือนหลังจากเกิด 2y-10y inversion ในเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งสั้นที่สุดที่เคยเป็นมา (สถิติก่อนหน้าคือ 8 เดือน)
แต่สาเหตุหลักของเศรษฐกิจถดถอยในปี 2563 มาจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามาก่อนตอนที่เกิด 2y-10y inversion ในปี 2562 สำหรับผม การทายถูกครั้งหลังสุดน่าจะเป็นความฟลุกล้วนๆ
ส่วนตัวผมมองว่า ด้วยความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบัน ณ จุดนี้ เราอาจจะยังไม่ต้องเป็นกังวลกับ 2y-10y inversion มากนัก
อย่างไรก็ดี เมื่อธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปเรื่อยๆ คงต้องติดตามส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดปรากฏการณ์ที่อัตราผลตอบแทนระยะสั้น 3 เดือน 6 เดือน ปรับสูงขึ้นกว่าอัตราผลตอบแทน 10 ปี ร่วมด้วย เพราะปรากฏการณ์หลังชี้ชัดเจนว่า ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปเกินกว่าที่เศรษฐกิจจะรองรับได้
. ซึ่งในบริบทปัจจุบัน มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงถ้าธนาคารกลางสหรัฐไม่สามารถดึงอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ลงมาในระดับที่เหมาะสมได้
ในมิติที่สองหรือเครื่องชี้นำการแตกสลายของฟองสบู่ตลาดหุ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี เป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการคำนวณ Excess CAPE Yield หรือ ECY
. ซึ่งเป็นเครื่องชี้หนึ่งที่นักลงทุนใช้วัดความถูกแพงของตลาดหุ้น โดยถ้าค่า ECY สูง แปลว่าตลาดหุ้นยังน่าสนใจลงทุนเทียบกับตลาดพันธบัตร
ในทางกลับกันถ้าค่า ECY ต่ำ นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้น (ECY คำนวณจากส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน The Great Burst: ระเบิดเวลาลูกใหญ่ของเศรษฐกิจโลก)
ปีที่แล้ว ผมเคยคำนวณคร่าวๆว่า ถ้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี มีโอกาสสูงที่จะเห็นฟองสบู่หุ้นสหรัฐแตก
ซึ่งในวันที่ 25 มีนาคม 2565 ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐขึ้นไปแตะระดับนี้ ก่อนที่จะกลับลงมาร้อยละ 2.39 ต่อปีตอนที่ผมกำลังเขียนบทความนี้
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐในปัจจุบันแม้จะลงมาจากจุดสูงสุดพอสมควร แต่ก็ถือว่ายังห่างไกลจากภาวะฟองสบู่แตกมากทั้งๆที่มีปัจจัยความขัดแย้งของรัสเชีย-ยูเครน และวิกฤตราคาพลังงานมาผสมโรงด้วย
พอผมกลับไปดูค่า ECY พบว่า แม้ล่าสุด ECY จะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 3 ต่อปีแล้ว (ค่าเฉลี่ยระยะยาวเท่ากับร้อยละ 4.67 ต่อปี) แต่ยังสูงกว่าร้อยละ 2 ต่อปีที่เป็นระดับอันตรายในอดีต
สาเหตุหลักคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ที่เอาไปหักออกจากอัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่ใช้ในสูตร ECY เป็นอัตราผลตอบแทนที่หักผลของเงินเฟ้อแล้ว
ซึ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อสหรัฐปรับสูงขึ้นกว่าที่ผมเคยคาดไว้เมื่อปีที่แล้วกว่าเท่าตัว ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีที่หักเงินเฟ้อแล้วลดลง
ดังนั้น หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐจะขึ้นไปสูงกว่าร้อยละ 2.5 ต่อปีบ้าง ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะยังทนทานได้
กระนั้นก็ตาม ผมมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐในระดับปัจจุบันมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากนักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นกับการถดถอยในอนาคตของเศรษฐกิจสหรัฐ
ผู้เขียน : ดร.ดอน นาครทรรพ
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

คลิก

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านารเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"