เจ็ดชั้น แห่งช่วงเวลาสู่การล่มสลายของมหาอำนาจกับการเงิน

Seven Stages Of Empire คุณ Mike Maloney นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญเรื่องเงินและทองคำของโลก ได้อธิบายไว้ว่าในอดีตประวัติศาสตร์โลกได้เกิดขึ้น รุ่งเรืองและแตกดับล่มสลายไป โดยมีการสัมพันธ์กับ “เงิน” อย่างไร

โดยจำแนกออกมาเป็นเจ็ดลำดับขั้น โดยบอกว่าขั้นทั้งหมดเหมือนการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกาที่เริ่มแกว่งจากเงินจริงๆที่มีคุณภาพ หรือ ( Quality ) Money เช่นทองคำ เงิน หรือของมีค่าคุณภาพมาก แล้วก็พัฒนาแกว่งไปสู่ ( Quantity ) Currency หรือ เงินกระดาษตัวแทน ที่มีปริมาณมาก ที่ถูกพิมพ์ออกมาเพื่อเป็นตัวแทน Money ในช่วงแรก และจากนั้นก็หาญกล้าจะเป็นเงิน Money แทน จนในที่สุดก็มาถึงทางตัน ต้องเหวี่ยงลูกตุ้มกลับมาหา เงิน ทองคำ Money อีกครั้งในที่สุด ดังนี้

1) … “เมื่อเริ่มสร้างอาณาจักรก็มีการค้าขายกันทั้งภายในและภายนอกอาณาจักร เกิดการสร้างตัวกลางการค้าคือ “เงินตรา” ที่อาจจะเป็นของมีค่า” เช่น ทองคำ เงินจริง หรือของหายาก มาเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยน และเมื่อทองคำหรือเงินหายาก ก็เริ่มพิมพ์เงินกระดาษหรือสิ่งอื่นแทน ( Currency ) แต่ยังอิงกับ “เงิน” Money ในรูปของของมีค่า เช่น ทองคำ หรือ เงิน Silver รองรับในการผลิตอยู่

2) … เมื่อสังคมเริ่มมีการพัฒนา ( เหมือนคนที่กำลังเติบโต ) ก็เกิดการสร้างถนนหนทาง สาธารณูปโภคมากมายตามมา ทั้งอาคารบ้านเรือน วัดวาอาราม โบสถ์ ศาสนสถาน สะพาน เขื่อนแอ่งน้ำต่างๆ ที่ต้องใช้เงินมากขึ้น ตัวแทนเงินอย่าง Currency ได้ถูกผลิตออกมามากมาย เพราะ Money ที่เป็นทองคำ เงิน แท้จริงหายาก หาไม่ทัน ต้องพิมพ์กระดาษหรือเหรียญที่เป็นโลหะผสมราคาถูกกว่ามาทำหน้าที่ในการซื้อขาย เพื่อขยายอาณาจักรแทน Money จนกระดาษเหรียญโลหะผสมนั้น เฟ้อท่วมระบบเพื่อจะเอามาดำเนินงานเหล่านั้น เมื่ออาณาจักรกำลังเติบโต

3) … เมื่ออาณาจักรเติบโตรุ่งเรืองก็เริ่มต้อง “รักษาความรุ่งเรื่องอาณาจักร” จากศัตรูรอบข้าง ต้องสร้างกองทัพ อาวุธ ทหารนักรบที่ต้องใช้เงินในการสร้างผลิตอาวุธและค่าเงินเลี้ยงดูกองทัพเหล่านั้น ( ในสมัยนี้ อาจจะตีความได้ถึง นายทหารแห่งกองทัพการเงิน ในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น พนักงานในธนาคาร กองทุน วาณิชธนกิจ นายหน้าโบรกเกอร์ต่างๆ ที่ต้องมีเงินรายได้ เพื่อรักษาความรุ่งเรืองของอาณาจักร ทุนนิยมเอาไว้ต่อไป )

4) … “ค่าใช้จ่ายในการรักษาอาณาจักรเกินตัวรายได้ และอาณาจักรเกิดเป็นหนี้ต้องใช้กองทหารทั้งทหารจริงและทหารการเงินในตลาด ในการรักษาอำนาจเอาไว้ต่อไป”

5) … “สร้างสงครามให้เกิดขึ้น ( รวมทั้งสงครามทางการเงิน เช่น ปี 1997 ) เพื่อไปปล้นชิงเอาทรัพยากรจากทั่วโลกและอาณาจักรอื่น” มารักษาพยุงอำนาจอาณาจักรตัวเองเอาไว้ Currency หรือ เงินกระดาษถูกพิมพ์ออกมาอย่างไม่จำกัด” ... เพื่อมาเป็นตัวแทนของ Money หรือ เงิน ทองคำ อย่างเต็มตัว และสามารถพิมพ์ออกมาแบบไม่จำกัด ( เหมือนปี 1971 ที่ริชาร์ด นิกสัน ยกเลิกการอิงเงินดอลล่าร์กับทองคำ ) ทำให้ “อัตราเงินเริ่มเฟ้อ” เริ่มพุ่งสูงเร็วมากค่าบ้าน ค่ารถ สินค้าต่างๆแพงมากขึ้น เร็วมากเมื่อเทียบกับ “อัตรารายได้” ของประชากรข้าทาสในอาณาจักรที่เพิ่มขึ้น อย่างช้าๆ ... เป็นการทำให้ประชากรข้าทาสสมัยใหม่ในอาณาจักรต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนเป็น “ข้าทาสสมัยใหม่” ที่ต้องทำงานหนักจนวันตาย เพิ่อจะหาเงินมาใช้หนี้หรือซื้อของจากผู้ปกครอง )

... Mike Maloney เคยบอกว่า อัตราเงินเฟ้อที่เราเห็นอยู่ตั้งแต่ปี 1971 นั้น มันไม่ได้เกิดตามกลไกการค้าการเงิน แต่เป็นไปตามผู้ปกครองโลกต้องการให้เป็น เพื่อให้สินค้าแพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ พวกผู้ผลิตจะได้ราคาดีมากขึ้น ทาสสมัยใหม่ก็ต้องเหนื่อยในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม กว่าจะได้สินค้าใดๆมาครอบครอง

6) … “การสูญเสียอำนาจของตัวแทนเงินหรือ Currency”
ตัวแทนเงิน Money หรือเงินกระดาษ Currency เริ่มเฟ้อเกลื่อนไปทั่วโลก อาณาจักรและนอกอาณาจักร ไม่มีค่า สูญเสียอำนาจในการซื้อขาย ประชากร ข้าทาส และพ่อค้าในตลาดของทั้งในและนอกอาณาจักรเริ่มได้กลิ่นของขยะและความไร้ค่าในตัว Currency กระดาษนั้น และเสียศรัทธาใน Currency ไม่อยากรักษาและเก็บมันเอาไว้อีกต่อไป ... ( เหมือนตอนนี้ หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจซับไพรม์ ปี 2008 หลายประเทศทั่วโลกเริ่มเทขายพันธบัตรและเงินดอลล่าร์ ที่ไม่มีทองคำค้ำ ออกจากคลังของทุนเงินตราระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมองหาตัวแทนใหม่ๆ หรือเริ่มแกว่งลูกตุ้มนาฬิกากลับไปหา “เงินแท้” Money อย่าง เงิน Silver และทองคำ Gold กันมากขึ้น )

7) … “กระแสประชากรข้าทาส ทหาร พ่อค้าในอาณาจักรแห่ไปถือ เงิน ทองคำ เงิน Silver อีกครั้งใหญ่มโหฬาร” ผู้คนหมดศรัทธากับกระดาษตัวแทนเงินอย่าง Currency กันทั้งในและนอกอาณาจักร ที่มีค่าอย่างแท้จริง ( ... เหมือนหลังปี 2016 “จีน” เริ่มตั้งตลาดทองคำที่เซี่ยงไฮ้ และผูกราคาทองคำกับเงินหยวน ทำให้เงินหยวนมีเสถียรภาพมากขึ้นไม่เฟ้อง่ายๆอีกต่อไป ) ... วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เทขายหุ้นไอบีเอ็มทิ้งไปกว่าหนึ่งในสามเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2017 นี้ ไม่ว่าจะสาเหตุอะไรก็ตามแต่ก็เป็นกระแสหนึ่งของการถอนตัวเองออกจากกระแสกระดาษ Currency ตัวแทนของเงิน Money

... มหาอำนาจเจ้าอาณาจักรรายเดิม เริ่มอยู่ไม่ได้ ต้องพยายามรักษาค่ากระดาษแทนเงิน Currency ของตัวเอง อย่างสุดกำลัง ทั้งด้วยเล่ห์และปืนกลระเบิดรถถัง ขีปนาวุธ เพราะทองคำค้ำค่าเงินก็ไม่มีเพียงพอ

... และวันนี้ก็คือวันนั้น ในขั้นที่ หก เชื่อมกับ เจ็ด วันที่ลูกตุ่มนาฬิกาแกว่งกลับมาหาค่าเงินตรา ที่แท้จริง ที่ก็คือ ทองคำ เงิน Silver หรือของมีค่าอื่นๆ เจ้าอาณาจักรและกองทหารทั้งทหารจริงและทหารการเงินอย่าง นายหน้าในตลาดหลักทรัพย์ พนักงานในกองทุน และวาณิชธนกิจต่างๆก็พยายามดิ้นรนอย่างหนักในสมรภูมิทั้งการเงินและการทหาร เพื่อจะทำให้ประชาชนข้าทาสกลับมาหลงใหลกับอำนาจของกระดาษ Currency เหมือนเดิมทั้งหลอกล่อและออกกฏหมาย กฏระเบียบมาบังคับ

... มีแต่ประชาชน ข้าทาส สมัยใหม่ที่ตื่นรู้เท่านั้น ที่ถอนตัวเองออกจากกลิ่นเน่าเหม็นและส่วนซากปรักหักพักของปราสาทที่สร้างจากกระดาษที่กำลังจะพังมามากขึ้นทุกที ถอนตัวออกมาจากทุกตลาดการเงิน การลุงทุน ที่เล่นแร่แปรธาตุและเกี่ยวข้องกับ ตัวแทนเงิน อย่าง Currency แล้วแกว่งกลับไปหา เงินแท้ Money อย่าง ทองคำ และ เงิน Silver หรือแม้แต่ที่ดิน และ การอยู่กินกับข้าวปลาอาหารที่จับได้จริง ได้ทันเวลาก่อนที่ปราสาทกระดาษจะพังลงมาทับตาย

https://www.youtube.com/watch?v=EdSq5H7awi8 

Jeerachart Jongsomchai

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"