คริปโตเคอเรนซีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ เฉพาะการซื้อขายบิตคอยน์ก็มีมูลค่าสูงถึงหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน เพิ่มขึ้นสูงมากจากที่ปี 2020 มีมูลค่าการซื้อขายวันละ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คนที่ติดตามความเคลื่อนไหวในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้คริปโตเคอเรนซีได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นเพราะ อีลอน มัสก์ และขณะเดียวกันความผันผวนของราคาเงินดิจิทัลก็ถูกมองว่าเป็นเพราะ อีลอน มัสก์ อีกเช่นกัน
แต่จะสรุปว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ อีลอน มัสก์ ได้จริงหรือไม่ ในเมื่อตลาดคริปโตเคอเรนซีนั้นมีความผันผวน และอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆ รอบด้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
คริปโตเคอเรนซี (cryptocurrency) หรือเงินดิจิทัลได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในระดับนานาชาติและในไทย ยกตัวอย่างอ้างอิงจากปริมาณการซื้อขายแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ (Bitcoin) ต่อวัน จากในปี 2020 ที่มีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ราวๆ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ปัจจุบันนั้นมูลค่าสูงถึงหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวันเข้าไปแล้ว
นับตั้งแต่ที่บิตคอยน์ทำสถิติใหม่ all-time-high ของตัวเองไปที่ 63,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเรียกกระแสได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการทำสถิติของเหรียญคริปโตฯอีกหลายร้อยหลายพันเหรียญที่รับอานิสงส์มีมูลค่าสูงขึ้นตามๆ กันเป็นขบวนพาเหรด
แต่หากจะหาคำตอบว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้คริปโตเคอเรนซี หรือเงินดิจิทัลสกุลต่างๆ ได้รับความสนใจขึ้นมากมายขนาดนี้ ก็คงหนีไม่พ้นฝีมือในการจุดกระแสของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าพ่อเทคโนโลยีแห่งเทสลา (Tesla) และสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ที่โดดเข้ามาร่วมวงการเงินดิจิทัลเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ความนิยมในคริปโตเคอเรนซีมาพร้อมกับความผันผวนอ่อนไหวมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงต้นปี หากใครได้สังเกตการณ์หรือเข้าไปร่วมในตลาดคริปโตเคอเรนซี ก็คงได้เห็นกันแล้วว่ามัน ‘ผันผวน’ มากกว่าที่เคยเป็นมาในปีก่อนหน้านี้
สาเหตุที่คนในวงการมองกันว่าเป็นเหตุที่ทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซีปั่นป่วนก็คือ อีลอน มัสก์ แต่หากจะกล่าวโทษว่าเขาเป็นคนที่ทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซีปั่นป่วน ก็คงดูเหมือนการหาแพะไปหน่อย เพราะเอาเข้าจริง เส้นกราฟในตลาดคริปโตเคอเรนซีก็เคลื่อนขึ้นลงรุนแรงอยู่แล้วจากหลายๆ ปัจจัย เช่น เรื่องความน่าเชื่อในตัวเองของแต่ละเหรียญที่หลายๆ คนยังคงตั้งคำถามอยู่ หรือแม้กระทั่งเรื่องการถูกใช้คดีอาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีมูลก็คงไม่มีข่าวที่แพร่หลายและเชื่อกันไปทั่วโลก เพราะหากมาย้อนดูพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของ อีลอน มัสก์ ก็พบว่าไม่กี่คำของเขาส่งผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างรวดเร็วจริงๆ ทำให้หลายๆ คนมองว่า เขาเป็นตัวการทำให้ตลาดคริปโตเคอเรนซีปั่นป่วน
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาใช้สัญลักษณ์ของเหรียญบิตคอยน์ไปตั้งเป็นคำบรรยายโปรไฟล์บนทวิตเตอร์ จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ราคาเหรียญบิตคอยน์ก็พุ่งสูงขึ้นหลายพันดอลลาร์
แถมต่อมาบริษัทเทสลาของเขาก็ประกาศแบ่งเงินสดไปใช้ซื้อบิตคอยน์เพื่อเก็บมูลค่าทดแทน ตามด้วยการประกาศให้ใช้บิตคอยน์ซื้อรถเทสลาได้ ซึ่งหลังจากประกาศทั้งสองครั้ง ก็ทำให้ราคาของเหรียญพุ่งสูงขึ้นแบบทันตาเห็น
ต่อมามีข่าวการประกาศขายบิตคอยน์ของเทสลาในสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ของที่เคยซื้อไว้ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเทสลาประกาศงดรับบิตคอยน์สำหรับการซื้อรถเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะเหตุผลที่ว่าบิตคอยน์ทำให้โลกร้อน เป็นเหตุให้ราคาบิตคอยน์นั้นดิ่งลงเหวทันที
ไม่ใช่เพียงแค่กับบิตคอยน์เท่านั้น แต่ อีลอน มัสก์ ก็ยังไปทวีตเชียร์ดอจคอยน์ (Dogecoin) ซึ่งเจ้าเหรียญตัวนี้มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นมีมตลกเท่านั้น ไม่ได้มีพื้นฐานใดๆ ที่จะสร้างมูลค่าได้ แต่ด้วยการเชียร์ของ อีลอน มัสก์ ก็ทำให้ดอดจ์คอยน์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 5,000 เปอร์เซ็นต์จากหนึ่งปีก่อนหน้านั้น
ล่าสุด อีลอน มัสก์ ทวีตภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่มีป้ายไฟตัวใหญ่เป็นคำว่า STARBASE ก็ส่งผลต่อสกุลเงินดิจิทัล Starbase Token หรือชื่อย่อว่า STAR เหรียญตัวนี้เคยมีราคาอยู่ประมาณ 0.002 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากปรากฏชื่อในทวิตเตอร์ของ อีลอน มัสก์ ราคาก็พุ่งไปแตะ 0.30 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่นานหลังจากที่พุ่งขึ้นสูงสุดแล้ว มันก็กลับลงมาอยู่ที่ราคาเหรียญละ 0.06 ดอลลาร์สหรัฐ ใกล้เคียงกับราคาเดิม
กรณีนี้ น่าจะเป็นความเข้าใจผิดว่า อีลอน มัสก์ เชียร์ Starbase Token เพราะภาพที่เห็นนั้นคือฐานปล่อยยานอวกาศของสเปซเอ็กซ์ ที่มีชื่อตรงกันว่า STARBASE
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่มี อีลอน มัสก์ เข้ามาในวงการ ตลาดคริปโตเคอเรนซีนั้นก็มีความผันผวนของมันมากอยู่แล้ว
หากจะพูดถึงความผันผวนของตลาดคริปโตเคอเรนซี่ เหรียญที่น่ายกมาเป็นตัวอย่างและพูดถึงมากที่สุดก็คือ บิตคอยน์ เพราะมันเป็นสกุลเงินดิจิทัลเหรียญแรก เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมที่สุด และเป็นต้นแบบของอีกหลายพันเหรียญที่มีอยู่ในขณะนี้
ราคาของบิตคอยน์นั้นเคยเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ช่วงปี 2017-2018 โดยขณะนั้นบิตคอยน์มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่สุดท้ายด้วยความหวังและแรงผลักดันต่างๆ ก็ทำให้มันเป็นเหมือนฟองสบู่ที่แตกไป จนราคาลดลงเหลือที่ 3,000-4,000 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับกลับมา
ช่วงปลายปี 2020 จู่ๆ ราคาของบิตคอยน์ก็พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว จาก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไปแตะ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน และล่าสุดมันพุ่งไปแตะ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐได้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ส่วนในภาพรวมของคริปโตเคอเรนซีก็อ่อนไหวไปตามปัจจัยรอบด้าน โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญอย่าง ‘ข่าว’ ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือข่าวจริง ล้วนส่งผลต่อความผันผวนของตลาดคริปโตเคอเรนซีทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อต้นวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีผู้ปล่อยข่าวลือในทวิตเตอร์ว่าอาลีบาบาจะซื้อบิตคอยน์มูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้กราฟมูลค่าบิตคอยน์พุ่งขึ้นแบบเป็นกราฟเส้นตรงเลยทีเดียว
หรืออย่างกรณีล่าสุดที่มีข่าวว่า รัฐบาลจีนประกาศว่าไม่สนับสนุนและไม่อนุญาตให้ใช้เงินดิจิทัลทำธุรกรรมทางการเงิน ก็ส่งผลให้เหรียญต่างๆ มูลค่าร่วงไปตามๆ กัน อย่างบิตคอยน์ร่วงลงไปจนมูลค่าต่ำที่สุดในรอบ 3 เดือน ส่วนเหรียญอื่นๆ ก็อยู่ในภาวะ ‘แดงทั้งกระดาน’ คล้ายๆ กับตลาดหุ้นเช่นกัน
ดังนั้น เราคงสรุปไม่ได้ว่าการที่ตลาดคริปโตเคอเรนซีปั่นป่วนนั้นเป็นเพราะ อีลอน มัสก์ เป็นหลัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลส่งผลกับราคาเหรียญในตลาด ด้วยความที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ และนักลงทุนรายย่อยหลายๆ คนก็ลงทุนตามเขาอยู่
เมื่อพูดถึงอิทธิพลของ อีลอน มัสก์ กับวงการคริปโตเคอเรนซีแล้ว ก็ชวนให้พูดถึงการที่คนดังคนอื่นๆ เข้าสู่วงการสินทรัพย์ดิจิทัล แล้วส่งผลให้ราคาเหรียญสกุลนั้นๆ เพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เกิดความผันผวนเหมือนอย่างอิทธิพลของเจ้าพ่อเทสลา
แน่นอนว่าการที่มีคนดังหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงให้ความสนใจกับอุตสาหกรรมใดหรือเคลื่อนไหวกับสิ่งใด ก็มักจะส่งผลกระทบมากกว่าปกติ ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดก็คือ อีลอน มัสก์ ตัวเอกของเรื่องที่เขียนถึงไปแล้ว
ตลาดคริปโตเคอเรนซีและอุตสาหกรรมบล็อกเชน (blockchain) นั้นไม่ได้มีแค่เพียงบิตคอยน์และเหรียญดิจิทัลทั่วไป แต่มันยังมีเทคโนโลยีอีกหนึ่งชนิดที่เรียกว่า NFT หรือ Non-Fungible Token เป็นชนิดหนึ่งของผลงานใดก็แล้วแต่ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นโทเค็น (token) ซึ่งมีการเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้
NFT ถูกนำไปใช้กับผลงานศิลปะต่างๆ เช่น ภาพวาด คลิปวิดีโอ หรือแม้แต่เสียงเพลง NFT ทำให้ผลงานนั้นๆ ที่สร้างขึ้นเป็นโทเค็นถูกเข้ารหัสทรัพย์สินทางปัญญา แสดงความเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวในผลงานนั้น ต่อให้ชิ้นงานถูกนำไปดัดแปลง ก็ไม่มีใครแอบอ้างความเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาได้ เพราะมันถูกเข้ารหัสไว้และสามารถตรวจสอบได้
หลายอุตสาหกรรมจึงเริ่มหันมาใช้โทเค็น NFT กันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในวงการภาพวาดที่สามารถระบุชื่อผลงาน เจ้าของผลงาน ผู้ถือครองลิขสิทธิ์ ผู้ครอบครองในแต่ละครั้งที่มีการขายต่อ และไม่สามารถทำซ้ำได้ เพราะจะถือว่าผิดลิขสิทธิ์ในทันที
ในฟากของโลกบันเทิงของผู้ใหญ่ เหล่าดาราเอวีชื่อดังในญี่ปุ่นเองก็เริ่มผลิต NFT ของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน รวมถึงฝั่งอุตสาหกรรมกีฬา ทั้งฟุตบอล บาสเกตบอล เบสบอล ก็ตบเท้าเข้าร่วมตลาด NFT กันเยอะมากๆ
ตัวอย่างคนดังที่เข้ามาในวงการ NFT ก็อย่าง Eminem แร็ปเปอร์ชื่อดัง ที่เปิดตัว NFT ของตัวเองเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา โดยทำออกมา 3 ชิ้นงานในจำนวนจำกัด ราคาเริ่มต้นที่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนหน้านี้ ปารีส ฮิลตัน เซเลบริตี้ระดับโลกโลกก็เพิ่งเปิดประมูลภาพวาด NFT คอลเลกชั่นแรกของตัวเองไป ซึ่งทำเงินได้มากกว่า 1.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความนิยมที่เพิ่มขึ้นด้วยหลายเหตุปัจจัยส่งผลให้ปริมาณเม็ดเงินหมุนเวียนในสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดมีมูลค่าสูงขึ้นมากๆ จนมูลค่ารวมมากกว่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 69 ล้านล้านบาทเข้าไปแล้ว
ส่วนเรื่องความผันผวนนั้นก็คงจะอยู่คู่กันไปอย่างนี้ เพราะปัจจัยต่างๆ ล้วนอยู่นอกเหนือการควบคุมของ ‘ผู้เล่น’ ในวงการ
โดย JaizJaizJaiz
Source: ไทยรัฐออนไลน์
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
----------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you