เมื่อมาถึงจุดที่เจริญสูงสุดในราวคศ. 117 จักรวรรดิโรมันมีประชากร 130 ล้านคนอยู่ใต้อาณัติ มีดินแดนภายใต้การครอบครองถึง 1.5 ล้านตารางไมล์ จักรวรรดิโรมันสร้างถนนมีความยาวทั้งหมด 5,000 ไมล์ รวมทั้งระบบระบายน้ำ โรงละคร และผลงานอีกนับไม่ถ้วนที่พวกเรายังคงใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ในปัจจุบัน ตัวอักษรโรมัน ปฏิทิน ภาษา วรรณคดี และสถาปัตย กรรมมาจากอายระธรรมโรมันทั้งนั้น แม้แต่แนวความคิดในเรื่องความยุติธรรมของโรมันยังคงมีการใช้อยู่ เช่น “เป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าทำผิด”
แต่ทำไมจักรวรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่ถึงได้ล่มสลาย?
การค้ามีความสำคัญต่อโรมมาก มีการนำเข้าสินค้าต่างๆผ่านชาย แดนเข้ามาในโรม ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดธัญญพืช เนื้อ น้ำมันมะกอก ภาชนะที่ทำจากแก้ว เหล้าองุ่น เครื่องเทศ ผ้าไหม หิน ไม้และดีบุก
การค้าทำให้ชาวโรมันร่ำรวย แต่อย่างไรก็ดี กรุงโรมมีประชากรเพียง1ล้านคน และการใช้จ่ายเพื่อดูแลโรมเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่จักรวรรดิมีการขยายตัว
ค่าใช้จ่ายในการบริหารจักรวรรดิ การขนส่งโลจิสติกส์ การทหารเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้โรมต้องหาวิธีที่จะหาเงินเพิ่มมาใช้จ่าย
การใช้จ่ายที่เกินตัวนี้นำไปสู่เงินเฟ้ออย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง การปกป้องการการค้าภายใน การเก็บภาษีที่สูงขึ้น และวิกฤติการทางการเงินที่ทำให้โรมเสื่อมลง
ในช่วง 220 ปีแรกของจักรวรรดิโรมัน มีการใช้เงินเงินเหรียญดีนารีอัส (Denarius) ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าแรงงาน 1 วันสำหรับแรงงานที่มีฝีมือ หรือช่าง
ในระยะแรกของจักรวรรดิ เงินเหรียญดีนารีอัสมีความบริสุทธิ์มาก โดยประกอบด้วยแร่เงินบริสุทธิ์ประมาณ 4.5 กรัม
เนื่องจากซับไพลที่จำกัดของแร่เงินและทองที่เข้ามาในโรม ทำให้การใช้จ่ายของรัฐบาลโรมมีจำกัดจากปริมาณของเงินเหรียญดีนารีอัสที่ถูกหล่อออกมา
โครงการที่ฟุ่มเฟือยของจักรพรรดิโรมัน ไม่ว่าจะเป็นการก่อสงครามใหม่ การสร้างโรงละคร พระราชวังใหม่เริ่มมีปัญหาในทางการเงิน
แต่เจ้าหน้าที่ดูแลการคลังของโรมันหาวิธีการที่จะแก้ปัญหา ด้วยการลดปริมาณแร่เงินในเหรียญดีนารีอัสที่หล่อออกมา
ทำให้สามารถหล่อเหรียญดีนารีอัสได้ในปริมาณที่มากขึ้น เมื่อมีเงินดีนารีอัสมากขึ้น จักรพรรดิโรมันสามารถใช้จ่ายเงินในงบประมาณมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ปริมาณแร่เงินในเหรียญดีนารีอัสจึงลดลงมาเรื่อยๆ
ปริมาณของแร่เงินในเหรียญดีนารีอัสที่มีสูงมากกว่า 90% ตั้งแต่ปีคศ. 64-68 ลดลงมาเรื่อยๆ จนแทบจะไม่เหลือแร่เงินในเหรียญดีนารีอัสในปีคศ. 268 ในสมัยของจักรพรรดิ Claudius II
การเพิ่มปริมาณเหรียญดีนารีอัสไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น หรือคนชาวโรมันรวยขึ้น แต่เป็นการดึงเอาความร่ำรวยของคนโรมันออกไปผ่านเงินเฟ้อ เพราะว่าคนโรมันต้องใช้เหรียญดีนารีอัสมากขึ้นในการซื้อสินค้าและบริการ
เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในจักรวรรดิ ความปั่นป่วนมีไปทั่ว ทหารโรมันเรียกร้องค่าจ้างสูงขึ้น
ในปีคศ.210 จักรพรรดิCaracallaจำต้องเพิ่มค่าจ้าง 50% ให้กองทัพโรมันที่เป็นทหารอาชีพ
ในปีคศ 265 มีแร่เงินเหลืออยู่เพียง 0.5% ในเหรียญดีนารีอัส ข้าวของมีราคาสูงขึ้นถึง 1,000% ในพื้นที่ของจักรวรรดิโรมัน มีเพียงทหารรับจ้างที่ไม่ใช่ชาวโรมันเท่านั้นที่ได้รับค่าจ้างจ่ายเป็นเหรียญทองคำ
เมื่อมีค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน และการดูแลกองทัพสูงขึ้น ในขณะที่ไม่มีแร่โลหะมากพอทีจะใช้หล่อเหรียญเงินออกมา ทำให้โรมต้องขึ้นภาษีกับประชาชนเพื่อให้จักรวรรดิอยู่รอด
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 3 การค้าระหว่างประเทศเกิดการชะงักงันไปหมด เหลือแต่การค้าท้องถิ่น ที่ต้องหันกลับไปใช้ระบบแลกเปลี่ยนสินค้ากัน หรือบาร์เตอร์
จักรวรรดิอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาระหว่างปีคศ 235 ถึง 284 โรมมีจักรพรรดิมากถึง 50 คน ส่วนมากจะถูกฆ่าตาย ลอบฆ่า หรือเสียชีวิตในสมรภูมิของสงคราม
เมื่อโรมอ่อนแอลง พวกชนเผ่าอนารยะชนเริ่มเข้ามารุกรานโรมเป็นระรอกๆ เกิดโรคระบาดไปทั่ว
ในที่สุดในปี 476 จักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในสมัยของจักรพรรดิ Romulus หลังจากรุ่งเรืองมา 1,000 กว่าปี จากการโจมตีของอนารยะชนเผ่าเยอรมันนำโดย Odoacer ที่กลายเป็นคนนอกที่เป็นผู้ปกครองโรมคนแรก
http://money.visualcapitalist.com/currency-and-the-collapse-of-the-roman-empire/
Thanong
21/2/2017
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman