'โควิด'ดันหนี้สาธารณะ ชาติเศรษฐกิจก้าวหน้าพุ่ง 125%

ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มการใช้จ่ายด้านงบประมาณเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แตะระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยสัดส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)

ของชาติเศรษฐกิจก้าวหน้าในปี 2564 จะพุ่งเป็นประวัติการณ์ถึง 125%

เพื่อปรับสมดุลงบประมาณ การลงทุนเพื่อกระตุ้นการเติบโต ทางเศรษฐกิจจะมีความสำคัญมากกว่า การเก็บภาษีเพิ่ม หรือการใช้มาตรการ รัดเข็มขัด เพราะในระยะยาวการเติบโต ของจีดีพีจะเป็นตัวกำหนดรายได้จากการจัดเก็บภาษี
เมื่อวันที่ 13 ต.ค.สถาบันเพื่อ ศึกษางบประมาณ ซึ่งเป็นกลุ่มนักคิดในสหราชอาณาจักร ประกาศว่าต้องคงตัวเลขหนี้สาธารณะที่ 100% ของรายได้ประเทศ รัฐบาลอังกฤษจำเป็นต้องควบคุมงบประมาณให้ได้มากกว่า 40,000 ล้านปอนด์ (52,000 ล้านดอลลาร์) ในปีงบประมาณ 2567 แต่กระทรวงการคลัง อังกฤษ ดำเนินมาตรการต่างๆ ด้วยความระมัดระวัง
โดยในปีนี้ การปรับอัตราการจัดเก็บภาษีรายปีที่ตามปกติจะมีการปรับในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตั้งแต่ช่วงเดือนก.ย.-พ.ย. ได้ถูกเลื่อนออกไป หมายความว่าจะไม่มีการขึ้นภาษีในกลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ เช่น เชื้อเพลิง และสินทรัพย์ โดยริชี ซูนัก รัฐมนตรีคลังของอังกฤษระบุว่า ภารกิจ สำคัญอันดับแรกๆ ของกระทรวงการคลัง คือการจ้างงาน
แต่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะบริหาร การเงินการคลัง หรือบริหารงบประมาณให้เกิดสมดุลในระยะกลางถึงระยะยาวในขณะเดียวกันก็รักษาตำแหน่งงาน ของคนหลายล้านที่กำลังได้รับ ผลกระทบจากการระบาดของโรค โควิด-19 ได้อย่างไร
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกรายงานเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ระบุว่า บรรดาผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องใช้มาตรการด้านงบประมาณที่ยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับการล็อกดาวน์ และการเปิดประเทศรอบใหม่และเพื่อเอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง ไปสู่เศรษฐกิจหลังการระบาดของ โรคโควิด-19 ซึ่งคำแนะนำครั้งนี้ของ ไอเอ็มเอฟ จะสวนทางกับคำแนะนำช่วง เกิดวิกฤติการเงินโลก ซึ่งตอนนั้นไอเอ็มเอฟ แนะว่าประเทศต่างๆ ควรเก็บภาษีเพิ่มและควรใช้มาตรการรัดเข็มขัด
"คาร์เมน ไรน์ฮาร์ท" หัวหน้า นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลก เปิดเผย กับไฟแนนเชียล ไทม์ ในเดือนนี้ว่า "ขณะที่ โลกกำลังต่อกรกับการระบาดของโรคร้าย เราควรทำอย่างไร? อันดับแรกคือกังวลเรื่องการสู้รบในสงครามเชื้อโรค จากนั้นก็เริ่มคิดถึงตัวเลขที่คุณต้องจ่ายไปกับ การทำสงครามครั้งนี้"
เมื่อครั้งมีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้จากการเก็บภาษีและการเติบโต ทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) พบว่า เมื่อจีดีพีขยายตัว รายได้ จากการเก็บภาษีก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน โดยรายได้จากการเก็บภาษีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2% สำหรับ 36 ประเทศในโออีซีดี ไม่รวม โคลัมเบีย ซึ่งหมายความว่าถ้าจีดีพีขยายตัว 1% รายได้จากการเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1%
ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศที่มีการเติบโตของจีดีพีสูงจะมีการเติบโตของ รายได้จากการเก็บภาษีที่สูงเช่นกัน เช่น กรณีของสหราชอาณาจักร เศรษฐกิจขยายตัว กว่า 20% ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการเก็บภาษีนิติบุคคลในอัตราที่ต่ำลงแต่รายได้ จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 25% และจะเห็น ตัวอย่างคล้ายๆ กันนี้ในชาติเศรษฐกิจ ก้าวหน้าอื่นๆ เช่น เยอรมนี เศรษฐกิจ ขยายตัว 19% แต่การเติบโตของรายได้จากการเก็บภาษีอยู่ที่ 24% ในญี่ปุ่น เศรษฐกิจขยายตัว 10% แต่รายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 23%
ประเทศต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จ ในการปรับสมดุลงบประมาณจะให้ ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในช่วงยุค 1990 รัฐบาลสหรัฐภายใต้ การบริหารของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน จำกัดวงเงินใช้จ่ายด้านงบประมาณด้วยการลดการขาดดุลและเพิ่มการลงทุน ด้าน "ทางด่วนข้อมูลข่าวสาร" รวมถึงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมไฮเทคที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยบริษัท เทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในทุกวันนี้ อย่าง อเมซอน และกูเกิล ถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษนี้และเติบโตไปทั่วโลก
ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจและ รายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น งบประมาณปี 2541 ของสหรัฐจึงเกินดุลเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2512
ขณะที่ยุโรป กำลังเผชิญหน้ากับ การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกสองและรัฐบาลของประเทศต่างๆ อยู่ในภาวะที่ต้องพยุงเศรษฐกิจให้ผ่านปีงบประมาณปัจจุบันไปให้ได้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนเตือนรัฐบาลทุกประเทศในยุโรปว่าให้ระวังผลพวงที่จะตามมาจากการดำเนินมาตรการต่างๆ ของพวกเขา
อย่าง "ราเกอรัม ราชัน" อาจารย์จากมหาวิทยาลัยชิคาโกและอดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของอินเดีย เขียนบทความ ที่เป็นความเห็นเมื่อเดือนส.ค.ว่า หนี้สาธารณะก้อนโตของทุกประเทศ จะถูกส่งผ่านไปยังคนรุ่นต่อไปในอนาคต และขณะที่ทั่วโลก พยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับคืนมา เขาก็มีความเห็นว่า ทางออกของปัญหาไม่ใช่การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของรัฐบาลหรือการใช้มาตรการรัดเข็มขัดอย่างมาก
แต่ก็มีบางคนมองว่าสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นโอกาสทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลง เช่น "ลอเรนซ์ บูน" หัวหน้า นักเศรษฐศาสตร์ของโออีซีดี กล่าวว่า สำหรับผู้กำหนดนโยบาย การระบาดของ โรคโควิด-19 จะเป็นโอกาสให้ผลักดันแผนการต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการลงทุนของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) เพื่อปรับปรุงระบบดิจิทัลที่จำเป็นมากขึ้น รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
ประเทศต่างๆ ที่มองหาวิธีการ อันชาญฉลาดมากขึ้นในการใช้จ่ายงบประมาณ และการเก็บภาษีจะเป็นผู้นำด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในยุโรป สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศโครงการสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของทั้งกลุ่ม ซึ่งครอบคลุมถึงการเก็บภาษีคาร์บอนตามแนวพรมแดนและการเก็บภาษีพลาสติก
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

คลิก

เพิ่มเติม
- No end in sight for record-high public debt fueled by COVID-19:

คลิก

-----------------------------------------------------------------------
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 

Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex

#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"