คอลัมน์ แจงสี่เบี้ย: การลงทุนเพื่อการศึกษาสำคัญเพียงใด?

การลงทุนทางศึกษามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ หากประเทศใดมีทุนมนุษย์ที่มีศักยภาพก็จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ตลาดแรงงาน และประเทศชาติ โดยเฉพาะภายใต้สภาวะโลกแบบ VUCA [1] ที่ทุกอย่างหมุนเร็วขึ้นมากกว่าอดีตจากการเปลี่ยนแปลง

อย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี หรือที่เรียกว่าเทคโนโลยีดิสรัปชั่น รวมถึงวิกฤติ ล่าสุดโรคโควิด-19 ยิ่งทำให้เห็นถึงความจำเป็นของการสร้างคนที่มีทักษะหลากหลาย เพื่อให้ สามารถปรับตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

ประโยชน์การลงทุนการศึกษา : สร้างอาชีพ ความเท่าเทียมทางรายได้ และการเติบโตอย่างยั่งยืน
ในทางเศรษฐศาสตร์ โมเดล Endo genous growth [2] อธิบายถึงการเติบโตทาง เศรษฐกิจในระยะยาวที่เกิดจากปัจจัยภายใน เช่น การพัฒนาทุนมนุษย์ คือการเพิ่มความรู้ และทักษะให้แรงงานซึ่งมีผลดีต่อการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของงานได้มาก และอัตรา การเสื่อมของทุนทางกายภาพ เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ และคอมพิวเตอร์ หากประเทศใดยิ่งมีสัดส่วนของทุนมนุษย์ต่อทุนกายภาพสูง ก็จะยิ่งสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น รวมทั้งการศึกษาที่สูงขึ้นยังช่วยสร้างแรงงานที่สามารถผลิตนวัตกรรมได้เองช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลิตภาพของแรงงานขั้นพื้นฐานได้ด้วย
ผลวิจัยของ UNESCO ในปี 2557 คาดการณ์ว่าหากสอนนักเรียนทุกคนในประเทศกำลังพัฒนาให้อ่านออกเขียนได้ จะสามารถลดจำนวนคนยากจนทั่วโลกได้ถึง 171 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าการศึกษายังมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศ
ประโยชน์ของการลงทุนด้านการศึกษามีหลายมิติทั้งต่อแรงงาน คือทำให้มีโอกาสเลือกงานที่เหมาะสมกับความชอบ ความถนัด และมีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนย้ายแรงงานทั้งระหว่างบริษัทและภาคเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ต่อนายจ้างคือ ช่วยเพิ่มผลิตภาพ เกิดการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ส่วน ผลประโยชน์ต่อสังคมคือ ทำให้เกิดการ เลื่อนสถานะทางสังคม (Social mobility) เช่น การที่คนรุ่นพ่อแม่มีการศึกษาสูงจะทำให้คนรุ่นลูกได้รับการศึกษาสูงขึ้นด้วย เพราะครอบครัวเห็นความสำคัญของการศึกษา ทำให้คนรุ่นต่อมามีหน้าที่การงานและรายได้ที่มั่นคง ลดปัญหาความยากจนและปัญหาอาชญากรรมได้
นอกจากนี้ การศึกษายังมีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความเท่าเทียม ทั้งในการออกความเห็นในสังคม การเรียกร้องสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางเพศ สังเกตได้จากคนรุ่นใหม่ที่กล้าแสดงความคิดเห็นและมีจุดยืนเป็นของตัวเอง
คุณภาพการศึกษาไทยเทียบกับนานาชาติเป็นอย่างไร?
ไทยลงทุนไม่น้อยถึง 6.2% ของ GDP เป็นสัดส่วนใกล้เคียงกับมูลค่าการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้วทั้งในออสเตรเลีย (5.8%) เบลเยียม (5.8%) สหรัฐ (6.0%) และ สหราชอาณาจักร (6.2%) ขณะที่ค่าเฉลี่ย ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) อยู่ที่ 5.0% โดยนอร์เวย์เป็นประเทศที่ลงทุนทางการศึกษาสัดส่วนสูงที่สุดในกลุ่ม อยู่ที่ 6.5% ของ GDP
แต่ถ้าดูคุณภาพ พบว่าคะแนนเฉลี่ย ผลประเมิน PISA ของประเทศกลุ่มโออีซีดี ด้านคณิตศาสตร์ 488 คะแนน วิทยาศาสตร์ 489 คะแนน และการอ่าน 489 คะแนน สูงกว่า คะแนน PISA ของไทยที่มีคะแนนคณิตศาสตร์ 419 คะแนน วิทยาศาสตร์ 426 คะแนน และการอ่าน 393 คะแนน ทั้งๆ ที่ไทยมีสัดส่วนการจัดสรรทรัพยากรลงทุนทางการศึกษาสูงกว่าของโออีซีดี
รีเทิร์นการลงทุนการศึกษาของไทย : ไม่น้อยหน้าชาติใด
ผลการศึกษาผลตอบแทนการลงทุนโดยใช้วิธี Cost-Benefit Analysis [3] จากกรณีศึกษาโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง : สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมีสมมติฐานว่ากระแสรายได้ของผู้รับทุนคำนวณตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณอายุ และเงินเดือนที่ได้กลุ่มวิชาชีพด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ในสาขาวิชาหลัก 10 อุตสาหกรรม S-Curve ที่รัฐบาลสนับสนุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ขณะที่ต้นทุนใช้ข้อมูลอ้างอิงจากค่าใช้จ่ายการให้ทุนทั้งส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำ คือ งบกลางที่ใช้พัฒนาสถานศึกษา และค่าใช้จ่ายแปรผันที่มอบให้ต่อหน่วยผู้รับทุนหรือต่อสถานศึกษา
พบว่ารายได้โครงการมูลค่า 136,100 ล้านบาท คิดเป็นรายได้โครงการปัจจุบันสุทธิ (NPV) ประมาณ 28,000 ล้านบาทหรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return : IRR) เท่ากับ 9.8% ใกล้เคียงกับงานศึกษาของไทยในอดีตที่ 7.5%-9.5% (พลับพลึง, 2019) ซึ่งถือว่า ไม่น้อยหน้าชาติใด โดยค่าเฉลี่ยของ OECD อยู่ที่ 17% โดยสูงสุดคืออิสราเอล (40%) รองลงมาคือตุรกี (36%) และไอร์แลนด์ (32%) ตามลำดับ
จะเห็นว่าการลงทุนในการศึกษาไทยให้ประโยชน์ทางการเงินในระดับน่าพอใจ แต่ยังมีปัญหาด้านการบริหารจัดการ รวมถึง โจทย์ท้าทายโดยเฉพาะปัญหาช่องว่างระหว่าง "โลกการศึกษา" และ "โลกการทำงาน" ที่กว้างมาก ซึ่งเป็นต้นทุนในอนาคตของเยาวชน คนรุ่นใหม่ ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงควรพิจารณาขับเคลื่อนการศึกษาไทยโดยมียุทธศาสตร์ระดับมหภาคที่เน้นความคุ้มค่าทั้งใน เชิงการเงินและเชิงคุณภาพ รวมถึงจัดการการศึกษาเชิงพื้นที่ เพื่อเพิ่มเติมทักษะที่จะตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในพื้นที่นั้นๆ เพื่อจะได้ก้าวข้ามการศึกษาแบบ "เสื้อโหล" มาสู่การเรียนรู้แบบ "เสื้อสั่งตัด" สักที
โดย ดร.เสาวณี จันทะพงษ์ และ ชนาภา ตันติปุระ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และ London School of Economics and Political Science (LSE)
[บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย]
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

คลิก

หมายเหตุ
[1] VUCA คือ สถานการณ์ที่เรียกว่า "VUCA" Volatility ความผันผวน, Uncer tainty ความไม่แน่นอน, Complexity ความซับซ้อน และความไม่ชัดเจน Ambiguity
[2] Endogenous growth เป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่าการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนนั้น นอกจากจะขึ้นการสะสมทุนทางกายภาพแล้ว ยังมีการพัฒนาด้านทุนมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญ
[3] Cross-Benefit Analysis เป็นวิธีการหาต้นทุนและประโยชน์ทางสังคมโดยคิดออกมาเป็นตัวเงิน


Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
--------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 

Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex

#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"