เรื่องของหนี้จำนวน $75 ล้านล้าน

สืบเนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราพูดถึงเรื่องของหนี้จำนวน $75 ล้านล้าน จากรายงานประจำปี 2018 ของกระทรวงการคลังสหรัฐ ซึ่งเพิ่งพิมพ์เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเอง ...เห็นได้ชัดว่าสหรัฐน่าจะต้องถึงคราวต้องล้มละลายแล้ว

สิ่งที่จะเขียนถึงต่อไปนี้จะเป็นการพยายามมองโลกในแง่ดี แต่ประเด็นคือ จะมองแง่ดียังไงก็ตาม ไอ้ตัวเลข $75 ล้านล้านมันก็ต้องมีผล..ไม่อะไรก็อะไรสักอย่างจนได้

ถ้าเชื่อว่าการล้มละลายในระดับชาติไม่มีผลกระทบทางลบอะไรเอาซะเลย มันก็ฟังดูโง่ไปหน่อย

มีหนี้ก็ต้องชดใช้ ..มีข้อสัญญาผูกมัดอะไรก็ต้องปฏิบัติตาม จะทำเฉยไม่ได้

นี่ไม่ใช่การคาดการณ์เอาเองแบบทฤษฎีสมคบคิด มันคำนวนเป็นตัวเลขเห็นได้ชัดเลย

และมันก็ไม่ใช่ตัวเลขที่ผมยกเมฆมาเอง รัฐบาลเองนั่นแหละที่ยอมรับว่าตัวเลขมันติดลบอยู่ที่ $75 ล้านล้าน คณะกรรมการประกันสังคมเองก็ยอมรับว่ากองทุนจะหมดเงินในอีก 15 ปี

ทีนี้เรามาลองดูแนวทางการแก้เกมที่ไม่ค่อยเหลือทางเลือกมากนักของรัฐบาลดู

1- Ignore the problem ..ไม่ต้องทำอะไรเลย .....เรื่องนี้นักการเมืองถนัดอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเขาก็กำลังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกันอยู่แล้ว

แต่นานๆครั้ง เราจะได้ยินว่ามีการพูดถึงเรื่องหนี้นี้ขึ้นมาสักครั้ง หรืออาจจะมีการแสดงการดวลกันในสภาเรื่อง debt ceiling ให้เห็น ..แต่ก็แค่นั้นเอง ไม่เคยมีการเตือนภัยอย่างจริงจังอะไรเลย

แล้วในเมื่อคนระดับนั้นไม่ทำอะไรเกี่ยวกับหนี้ ก็ไม่ต้องหวังว่าใครจะทำ ทุกคนในประเทศก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

2- Raise taxes ..ขึ้นภาษี.. นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุดเพราะเป็น option ที่แสนหวานของนักการเมือง ..โดยเฉพาะพวกคนรุ่นใหม่บอลเชวิคส์ที่กำลังเข้ามามีอำนาจในสภา ที่มาพร้อมกับแนวคิดว่าจะต้องถอนขนห่านพวกคนรวย พวกเขาต้องการเพิ่ม ..ภาษีทรัพย์สิน..ภาษีเงินได้ที่สูงขึ้น..ภาษีนิติบุคคล..ภาษีเสริม surtaxes ..etc.

แต่ ...มันไม่ช่วยอะไรเลย

ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองมา อัตราภาษีในสหรัฐมันกระจายไปทุกหย่อมหญ้า (all over the board) อยู่แล้ว ..ในช่วงปี 1960s คนรวยที่สุดจ่ายภาษีอัตราก้าวหน้าสูงสุดถึง 90% ..แต่ตอนนี้อัตราสูงสุดอยู่ที่ 37%

ในช่วงเวลาดังกล่าว ภาษีนิติฯ ภาษีบุคคลธรรมดา และภาษี capital gain มีการเด้งไปมาเหมือนลูกพินบอลล์ที่กำลังเมาเหล้า

ตลอดเวลานั้น..ไม่ว่าอัตราภาษีจะถูกกำหนดให้สูงหรือต่ำ ...รายรับโดยรวมที่วัดเป็นเปอร์เซนต์ต่อ GDP ก็พอๆกัน

รายรับภาษีของสหรัฐอเมริกามันคงอยู่ที่ 17.7% ของ GDP มาตลอดปีแล้วปีเล่า ไม่ว่าจะกำหนดอัตราไหน

พูดอีกอย่างคือ อัตราส่วนชิ้นเค้กของ pie chart อยู่ที่ประมาณ 17.7% บวกลบนิดหน่อย

เช่นในปีงบประมาณ 2018 รายรับภาษีของรัฐบาลกลางอยู่ที่ 18.0% ของ GDP

ประเด็นคือ ไม่ว่าจะเพิ่มอัตราภาษีให้สูงเทียมเมฆสักแค่ไหน แต่รายรับภาษีก็ยังคงเดิม

คุณๆคงจะคิดว่าพวกเขาคงจะเริ่มคิดได้หลังจากได้เห็นข้อมูลภาษีช่วง 80 ปีมานี้ว่า ...."ถ้าเพิ่มสัดส่วนใน pie chart ไม่ได้ ...ทำไมเราเพิ่มขนาดของ pie ไปเลยล่ะ"....

แต่พวกเขาไม่คิด....คิดแต่จะถอนขนห่านอย่างเดียว เพราะนั่นทำให้พวกเขาได้รับเลือก

3- Default ..ชักดาบ ..ถ้าเพิ่มภาษีก็ยังไม่สามารถช่วยได้ ก้าวต่อไปก็คงต้อง ชักดาบ หยุดพักชำระหนี้

นั่นคือ ไม่ใช้หนี้คืนแก่พวกเจ้าหนี้ ...หรือต่อข้อผูกพันธ์ระยะยาวต่อประชาชน สำหรับ (เช่นโปรแกรมเช่นประกันสังคม) ก็ยุติซะ..

และอย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า มันกำลังเกิดขึ้นในแนวทางนี้

ในรายงานประจำปี 2018 ..คณะกรรมการประกันสังคมมีการบอกไว้ชัดเจนว่า กองทุนจะไม่มีเงินเหลืออีกในปี 2034 หรืออีก 15 ปีจากนี้

ซึ่งในตอนนั้น ก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตัดสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันทั้งของรุ่นปัจจุบันและรุ่นใหม่ที่จะเข้าระบบในอนาคต

ลองจินตนาการดู ถ้าผู้เอาประกันจ่ายเงินเข้าระบบมาตลอดชีวิตโดยเชื่อว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามสัญญา ..แต่แล้วก็มาพบกับการตระบัดสัตย์ที่เป็นการชักดาบอย่างหนึ่ง จะรู้สึกอย่างไร ...เรื่องมันก็กำลังเดินไปตามแนวนี้ซะด้วย

การชักดาบพวกเจ้าหนี้เป็นเรื่องของการใช้เล่ห์เหลี่ยม

เจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐมีดังนี้

คณะกรรมการประกันสังคม: ใช่เลย กองทุนประกันสังคมเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด ...ถ้าลุงแซมคิดจะชักดาบกับกองทุนนี้แล้วล่ะก็ นี่จะเป็น royally screwed

Federal Reserve: นี่ก็ถือพันธบัตรองรัฐบาลมูลค่าล้านล้านดอลล่าร์ ถ้าลุงแซมจะหยุดชำระหนี้ มันจะทำให้ฐานะของ Fed ถูกกวาดทิ้งไปเลย และจะสร้างวิกฤติครั้งใหญ่ของเงินดอลล่าร์

เจ้าหนี้ต่างประเทศ: เช่นจีน ...ถ้าถูกชักดาบ ทั่วโลกจะต้องเกิดวิกฤติการเงินแน่นอน เพราะทุกประเทศจะต้องดั๊มพ์พันธบัตรสหรัฐ ..ที่จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของสหรัฐพุ่งสูงลิ่ว ที่คงถึงขั้นล้มละลาย

ทุกๆ option ข้างต้น ไม่มีข้อไหนเวิร์คเลย ..สิ่งที่จะตามมาคือ:

4- Inflation ..นับพันๆปีมาแล้ว เมื่อรัฐบาลอยู่ในปัญหาทางการเงิน มักจะทำสิ่งที่เหมือนกันคือ เพิ่มปริมาณเงินเพื่อลดมูลค่าและทำให้เกิดเงินเฟ้อ โดยหวังว่าจะไปรอดได้

ปกติรัฐบาลจะชอบให้เกิดเงินเฟ้อแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะมันจะค่อยๆลดค่าเงินและลดหนี้ที่รัฐบาลเป็นอยู่

และเพราะเงินเฟ้อเป็นไปแบบช้าๆ (3% ต่อปี) เสียงบ่นก็จะไม่มากนัก ถึงแม้ว่าจะถูกปล้นความมั่งคั่งไปทีละนิดทุกๆปี

เพราะฉนั้น รัฐบาลก็จะยังคงพิมพ์เงินเพิ่มไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างเงินเฟ้อและค่อยๆล้างหนี้ไป

และมันก็เป็นไปตามความคิดการแก้ปัญหาตามแผน: เพิ่มภาษี เพิ่มเงินเฟ้อ ชักดาบกองทุนประกันสังคม

ทั้งหมดก็อยู่ที่ข้อมูลที่รัฐบาลมีอยู่

แต่สำหรับเราๆ มันก็ยังมีทางเลือกอยู่หลายทาง

เช่นต้องถือทรัพย์สินที่มันป้องกันเงินเฟ้อไว้ได้ นั่นคือ ..ทองคำและซิลเวอร์ ..เรียลเอสเตท (ที่อยู่นอกสหรัฐ) ..หุ้นที่ดีที่ยังคงมี cash-flow สูง..

ทรัพย์สินเหล่านี้จะยืนยงอยู่ได้ท่ามกลางเงินเฟ้อ

รัฐบาลวงวันที่ในปฏิทินไว้แล้ว...คุณๆยังรออะไรกันอยู่หรือ ถ้ายังไม่มีแผนอะไรเลยก็คงจะบ้าไปหน่อยล่ะมั้ง

Cr.Sayan Rujiramora
----------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b  
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"