... “เอไอ” หรือ artificial intelligence , AI “ปัญญาประดิษฐ์” ที่เป็นการพัฒนาความก้าวหน้าของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นในการอำนวยความสะดวก ซึ่งโดยทั่วไป “เอไอ” มักจะตีความหมายถึงสิ่งที่ต้องรับเอาข้อมูลจากภายนอกมาวิเคราห์ประมวลผลกับการทำงาน
ของเครื่องจักรกลบางอย่างเพื่อนำเอาไปใช้ในกิจกรรมอย่างหนึ่ง เอไอจึงมักจะมีเรื่องของการความคุมรับมาถ่ายโอนข้อมูลและนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องจักรที่มักต้องใช้ “ซอฟท์แวร์” ควบคุมในขั้นตอนเหล่านั้น ซึ่งการพัฒนาเอไอนั้นจะต่างจากเครื่องจักรทั่วไป เพราะว่าเอไอต้องมีการควบคุมและพัฒนาซอฟท์แวร์ด้วย
... นักวิเคราะห์บางสายบอกว่า “เอไอ” จะเป็นตัวการเปลี่ยนโฉมระบบอุตสาหกรรมของโลก เปลี่ยนแปลงรายได้จีดีพีของแต่ละประเทศ บางอย่างจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์และจะเป็นการทำให้เกิด “การว่างงานของคน”
... ในความเป็นจริงปัจจุบันนี้ จีดีพีโลกกำลังถูกตั้งค่าให้เพิ่มมากขึ้นร้อยละ 14 จากการพัฒนา AI ตามข้อมูลของ PwC การปรับใช้เทคโนโลยี เอไอเหล่านี้ในอีกสิบปีข้างหน้า จะเพิ่มเป็น 15.7 ล้านล้านดอลลาร์ไปยัง GDP ทั่วโลกโดยจีนคาดการณ์ว่าจะทำรายรับ 7 ล้านล้านดอลลาร์และอเมริกาเหนือ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ในส่วนของบริษัทข้ามชาติทั่วไป ( ยังไม่นับของระบบราชการที่จะพัฒนาระบบเทคโนโลยีตามมาอย่างช้าๆ )
... ซึ่งทั้ง “5G” และ “เอไอ” นั้นเป็น “เครื่องมือ” หรือ ตัวแปรวัดความเป็นมหาอำนาจอีกสาขาหนึ่ง เพราะว่า “5G” นั้นเหมือนเป็นทางสัญจร รถไฟ เครื่องบิน ถนน สะพาน คลอง ให้ข้อมูลวิ่งได้เร็วขึ้นกว่าระบบ 4G ในขณะเดียวกัน “เอไอ” นั้นเป็นตัวเครื่องจักร ยานพาหนะที่จะวิ่งบนทางสัญจร “5G” นั้นๆ เช่น เครื่องสแกนเช็คอิน ตรวจคนเช้าเมืองในสนามบิน , เครื่องจักรผลิตในโรงงานที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ , เครื่องจักรในการควบคุมความปลอดภัยทางไกลผ่าน 5G, เครื่องตรวจจับมะเร็ง , เครื่องสแกนอัตลักษณ์ของคนอย่างละเอียดที่เกี่ยวกับความปลอดภัย ,เครื่องตรวจรักษาคนไข้ทางไกลผ่าน 5G ,เครื่องควบคุมการขับรถแบบไร้คนขับ หรือเครื่องบินไร้คนขับโดรนก็เป็น เอไอทั้งหมด ที่รวมความถึงทั้งตัวเครื่องจักรและตัวซอฟแวร์ที่ควบคุมเครื่องจักรและเชื่อมโยงกับระบบ 5G
... Kai Fu Lee นักเขียนเรื่อง Ai Superpower China, Silicone Valley ได้บอกว่า แม้ว่าในทางการวิจัยค้นคว้าในเอกสารนั้น “อเมริกา” จะนำ “จีน” ไปไกลกว่าเป็นหลายปี แต่ในแง่การเอาเนื้อหามาตีความสร้างเป็นเครื่องจักรอุปกรณ์ รูปร่าง ตัวตนที่มีมูลค่ารายได้และปริมาณจริงนั้น “จีน” มาไกลกว่าอเมริกาหลายขุม และ “ถ้าเปรียบโลกอนาคตแห่งการส่งต่อเชื่อมถ่ายข้อมูลเหมือนน้ำมันนั้น จีนกำลังเป็นเหมือนซาอุดิอาระเบียแห่งวงการโทรคมนาคมสมัยใหม่”
... และในอนาคตอันใกล้ 15 ปีข้างหน้านั้นร้อยละ 40-50 ของงานใน “อเมริกา” จะถูกทดแทนการทำงานของ “เอไอ”
... เพียงแค่ปีเศษที่ผ่านมา ในเดือนพฤษภาคม ปี 2017 เป็นจุดเริ่มต้นเรื่อง “เอไอ” ของ“จีน” ที่มีเป้าหมายในเรื่องนี้ โดยเรื่องเกิดจากการที่ Ke Jie เด็กจีนนักเล่นเกมส์โกะเล่นแพ้ต่อเกมส์ที่ผลิตจากบริษัทแม่ของกูเกิ้ลคือ Alphabet 3 เกมส์รวด ทำให้จีนประกาศออกมาทันทีหลังจากนั้นว่าพวกเขามีแผนการพัฒนาเรื่อง “เอไอ” อย่างเร่งด่วน ดังนี้
1... ตามให้ทันเทคโนโลยีของ “เอไอ” จากโลกตะวันตกในภายในปี 2020 ( หรือ ปีหน้านี้เอง )
2 ... ต้องพัฒนาและค้นพบสิ่งใหม่ๆของเอไอภายในปี 2025
3... ต้องเป็นผู้นำของโลกทางด้านเอไอ ภายในปี 2030 หรืออีกแค่ 11 ปีข้างหน้านี้
... โทมัสฟรีดแมน นักเขียนและคอลัมนิสต์บอกกว่า“จีน” ได้เปรียบในการพัฒนาในเรื่องนี้เพราะว่าเรื่อง “เอไอ” สอดคล้องกับการที่จีนมีข้อมูลมากมายในมือของผู้คนที่ใช้บริการซื้อจ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ ในระบบ “สังคมไร้เงินกระดาษ” อยู่แล้ว มีเวทีรองรับการพัฒนาจึงง่ายและเห็นประโยชน์อย่างชัดเจน ในการที่พัฒนาเอไอหลายๆอย่างมาตอบสนองการค้า ซื้อขายเหล่านั้น
… “เมื่อคุณได้รับชุดข้อมูลมหาศาลเหล่านี้จากนั้นก็ใช้ปัญญาประดิษฐ์กับพวกเขา คุณจะเห็นรูปแบบการเข้าใจที่พัฒนาให้ดีขึ้นและดีขึ้นและลึกซึ้งขึ้นกว่าประเทศอื่นและผมคิดว่ามันจะเป็นข้อได้เปรียบที่ดีสำหรับประเทศจีน"
... “ยิ่งไปกว่านั้น “จีน” ไม่มีกฎหมายความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ( เช่นอเมริกา แต่ก็มีข่าวว่า พวก แอปเปิ้ล กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค ยาฮู และอีกหลายยักษ์ใหญ่ด้านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ล้วนถูกกล่าวหาจากนักแฉว่าต้องถูกบีบให้ป้อนข้อมูลให้องค์กรหน่วยงานราชการลับของอเมริกา ที่ไม่ใช่แค่ไม่ส่วนตัว แต่เป็นการอันตรายถึงชีวิตด้วยเช่นกัน ) ทำให้ บริษัท สามารถรวบรวมข้อมูลได้ง่ายขึ้น รัฐบาลซื้อเทคโนโลยีเพื่อเก็บข้อมูลจำนวนมากแบบที่ไม่เคยมีการเก็บมาก่อนเกี่ยวกับพลเมืองของตน”
... บริษัทรถมากมายเช่น โฟล์คสวาเก้น เทสล่า กำลังพัฒนาการขับรถแบบไร้คน, เจพีมอร์แกนกำลังพัฒนาการเงิน พวกเขาและธนาคารหลายแห่งกำลังจะปรับเปลี่ยนรื้อระบบ “โครงสร้างการจัดการข้อมูลใหม่” เช่นช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในการปล่อยกู้ การตัดสินใจในการลงทุน ( ที่นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นบางส่วนอาจจะตกงานได้ ) โดยมาใช้ระบบ “เอไอ” ช่วย โดยเฉพาะเรื่อง “ฟินเทค” หรือ “Financial Technology” ที่ต้องตามบริษัทสตาร์ตอัพใหม่ๆให้ทัน อย่างเช่นของ “จีน” นั้นอาลีเพย์ ของอาลีบาบา ก็กำลังจะเอาฐานข้อมูลของลูกค้ามาสร้างเป็นธนาคารออนไลน์ที่ไม่ต้องสร้างอาคารและจ้างพนักงานมานั่งหน้ารีเทล์เคานเตอร์อีกต่อไป
... “ฟิลิปส์” กำลังพัฒนาเครื่องมือในการวินิจฉัยและรักษาโรคที่ได้ประสิทธิภาพที่แม่นยำและรวดเร็ว แต่ฟิลิปส์บอกว่า “เอไอการแพทย์” ไม่สามารถมาทดแทนแพทย์จริงได้ แค่ทำให้งานหมอสะดวกและชัดเจนปลอดภัยตัดสินใจง่ายขึ้น รวมทั้งการวินิจฉัยตรวจสอบโรคทางไกล ทำให้คนมาโรงพยาบาลน้อยลง ( ขนาดอาคารโรงพยาบาลในอนาคตอาจจะมีขนาดเล็กลงแบบธนาคาร )
... ขณะที่ “วงการคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ต” สังคมอนาคตเป็นสังคมออนไลน์ จะมีระบบตรวจสอบข้อมูลแบบสแกนข้อมูลแบบสแกนไวรัส เพื่อความปลอดภัยในการไหลเวียนถ่ายโอนข้อมูลให้ดีกว่าเดิม ( ป้องกันการแฮค โจรกรรม โจรอินเตอร์เน็ต ) แยกแยะจัดระเบียบข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรนั้นๆได้ดีขึ้น แล้วนำมาใช้ได้สะดวกได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นในญี่ปุ่นตอนนี้ “พานาโซนิค” กำลังเร่งพัฒนาในการเอา “เอไอคอมพิวเตอร์” มาใช้ในหลายวงการ เช่นการตรวจจับรอยร้าวในเขื่อน หรือบางบริษัทก็พัฒนาการเล่นเกมส์ออนไลน์ให้ทันสมัย
... ขณะที่ Affectiva นั้น ได้ก้าวไปไกลกว่านั้นในปี 2017 ถึงขั้นสร้าง “เครื่องตรวจจับและวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกจากใบหน้าคน” เพื่อจะได้เตรียมหาการตอบสนองที่เหมาะสมกับคนที่กำลังสนทนาด้วย
... ยังไม่นับการนำ "เอไอ" ไปใช้ในทางพัฒนา "อาวุธสงคราม"
... ใครสามารถเป็นผู้นำระบบ “เอไอและ 5G” ได้ก่อนคนนั้นก็ครอบครองโลกได้มากขึ้น
.
... In fact, global GDP is set to increase by 14 percent because of AI, according to PwC. The tech's deployment in the decade ahead will add $15.7 trillion to global GDP, with China predicted to take $7 trillion and North America $3.7 trillion, according to the multinational company.
"Data is the new oil, so China is the new Saudi Arabia," Kai-Fu Lee, venture capitalist and author of "AI Superpowers: China, Silicon Valley, and the New World Order," told CNBC's "Squawk Box."
"If you measure by research — basic research papers published, excellence of research — U.S. is and will be ahead for the next decade," he said. "But if you measure by value created, how much market capitalization, how many users, how much revenue, China probably is already ahead."
Lee said AI could replace 40 to 50 percent of all jobs in the U.S. in the next 15 years.
Cr.Jeerachart Jongsomchai
สนับสนุนข่าวโดย ICMarkets
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/