ยี่สิบปีก่อนเนเธอร์แลนด์บรรจุเรื่องการใช้เทคโนโลยีด้านเกษตรกรรมให้เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งเป้าว่าผลผลิตจะต้องออกมา2เท่าโดยใช้ทรัพยากรแค่ครึ่งเดียว นับจากนั้นประเทศเล็กๆแห่งนี้ก็ใช้พื้นที่ครึ่งหนึ่งไปกับเกษตรกรรม แม้จะอยู่ห่างจากขั้วโลกเหนือไม่มาก
แต่ประเทศนี้ก็รายล้อมไปด้วยฟาร์มเรือนกระจก บวกกับการผสมผสานของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น โดรน แทรคเตอร์ไร้คนขับ และ หลักการ "Precision Farming" ซึ่งทำให้พืชผักนั้น มีเซนเซอร์อ่านค่าและวิเคราะห์ปัจจัยที่สำคัญในการเติบโตของพืช จนค้นพบว่าพืชที่ปลูกที่นั่นสามารถโตได้โดยใช้ "นำ้แค่1ใน10" ของวิธีปรกติ มูลค่าการส่งออกจึงสูงโดยใช้พื้นที่และทรัพยากรไม่มาก
มันสมองของเรื่องทั้งหมดมีศูนย์กลางอยู่ที่ Wageningen University & Research (WUR) มหาวิทยลัยที่มีงานวิจัยด้านเกษตกรรมติดอันดับต้นๆของโลก นอกจากงานวิจัยด้านเกษตรกรรมก็ยังมีส่วนช่วย start-up ออกมาลงทุนทำธุรกิจในด้านนี้อีกด้วย มุมมองของทางมหาวิทยาลัยคือ ประชากรโลกจะเพิ่มมากขึ้นในอีก 40 ปีนี้ และเราจะต้องผลิตอาหารมากกว่า8,000ปีที่ผ่านมารวมกัน เพื่อจะป้อนให้คนทั้งโลกไม่อดอยาก
เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ก็มีการคนพบว่า Precision Farming นั้นสามารถทำให้พืชโตในที่ๆแตกต่างออกไปได้ เช่นในตึกอาคาร (นึกถึงตึกลักษณะเหมือนห้างเทสโก้โลตัสที่ข้างในมีฟาร์มพืชตั้งเป็นชั้นๆ) ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้ยังเป็นบริษัท Start up ที่อาจฟังดูเป็นแค่บริษัทเล็กๆแต่เบื้องหลังนั้นบางบริษัทมีการระดมทุนกันถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว บริษัทเหล่านี้ใช้ไฟ LED แทนแสงอาทิตย์ และ พ่นสารอาหารให้พึชแทนปุ๋ย โดยเป้าหมายคือทำให้ต้นทุนในการปลูก (หนักๆคือค่าไฟ ค่าคน) ให้ลดลงเหลือเท่าๆกับการปลูกแบบธรรมชาติ เมื่อเป็นเช่นนั้นได้เมื่อไหร่ เราก็สามารถปลูกพึชผักไว้กินเองตามอาคารบ้านเรือน คอนโด ทาวเฮาส์ไว้กินเองในครัวเรือนได้ บริษัทพวกนี้ก็จะมีหน้าที่ขายเทคโนโลยี และ อุปกรณ์ให้
กลับมาถึงประเทศไทย ดูเหมือนเรายังต้องการการปรับตัวอีกมาก ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เราหันหลังให้งานวิจัยด้านการเพาะปลูก ปี1994งบการวิจัยด้านนี้อยู่ที่0.9%ต่อGDP แต่ปัจจุบันเหลือเพียง0.2% มหาวิทยาลัยรังสิตเคยลองปลูกข้าวหอมปทุมด้วยระบบ Precision Farming ซึ่งทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้นถึง 27% แต่ชาวนาส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินพอที่จะลงทุนนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ด้วยส่วนใหญ่แล้ว 43% ของชาวนานั้นมีที่ไม่ถึง 10 ไร่ การลงทุนจึงไม่คุ้มค่า จึงมีแต่เจ้าใหญ่ๆอย่าง มิตรผล CPF และ เบทาโกล เอาเทคโนโลยีนี้มาใช้เพิ่มผลผลิต
เท่าๆที่อ่านดูแล้วก็รู้สึกหวั่นๆเล็กๆว่าประเทศไทยจะยิ่งถอยหลังในการผลิตพืชผลออกสู่ตลาดโลกหรือไม่ ท่านผู้อ่านคิดเห็นยังไงบ้างครับ?
บอม
Cr.DinoTech5.0
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/