ความสำเร็จของ MicroStrategy ที่ลงทุนในบิทคอยน์ตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในโลกการลงทุน โดยเฉพาะการเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของกองทุน Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ที่มีชื่อเสียงมาช้านาน
- MicroStrategy ถือบิทคอยน์ 226,500 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ $13,771 ล้าน โดยต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ $37,000 ต่อเหรียญ ขณะนี้ หากบิทคอยน์มีมูลค่าประมาณ $60,000 MicroStrategy จะมีกำไรจากบิทคอยน์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (unrealized gain) ประมาณ $5,200 ล้าน
- เปรียบเทียบกับหุ้น Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ที่เน้นลงทุนในหุ้นใหญ่ ๆ เช่น Apple, American Express และ Bank of America ผลตอบแทนจากบิทคอยน์ของ MicroStrategy ณ จุดนี้ได้แซงหน้าผลตอบแทนจากหุ้นเหล่านี้ไปแล้ว
สิ่งที่น่าสนใจคือทิศทางของบิทคอยน์ในอนาคต หากราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นต่อไป MicroStrategy จะเห็นกำไรที่เติบโตขึ้นอีกมาก การตัดสินใจของ Michael Saylor ในการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการการลงทุน
กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ Bitcoin Spot ETF อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาบิทคอยน์จะมีความผันผวนอยู่ตลอด แต่การลงทุนในบิทคอยน์ผ่าน ETF กลับได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะจากกองทุนขนาดใหญ่อย่าง BlackRock ซึ่งล่าสุดได้กลายมาเป็นผู้ถือครองบิทคอยน์อันดับที่ 3 ของโลกอย่างรวดเร็ว
- ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้าสู่ Bitcoin Spot ETF มากกว่า $193,000 ล้าน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อบิทคอยน์แม้จะอยู่ในสภาวะที่มีความผันผวน
- BlackRock หนึ่งในกองทุนจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เพิ่มการลงทุนในบิทคอยน์อย่างต่อเนื่อง โดยขึ้นมาเป็นผู้ถือบิทคอยน์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก
- นักวิเคราะห์ ETF อย่าง Eric Balchunas จาก Bloomberg คาดการณ์ว่า BlackRock อาจจะเพิ่มการถือครองบิทคอยน์ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นผู้ถือครองอันดับ 1 ซึ่งอาจจะแซงหน้าผู้ก่อตั้งบิทคอยน์อย่าง Satoshi Nakamoto ก็เป็นได้
การเข้ามาของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่เช่น BlackRock ในตลาดบิทคอยน์ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น และทำให้บิทคอยน์มีความมั่นคงในระยะยาวมากขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับการออกและเสนอขาย Utility Token ซึ่งเป็นโทเคนดิจิทัลที่ใช้เพื่อแสดงสิทธิ์ในการกระทำบางอย่าง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ แบบพร้อมใช้ และ แบบไม่พร้อมใช้ ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมที่สำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการที่สนใจออกโทเคนดิจิทัล:
ประเภทของ Utility Token:
- Utility Token แบบพร้อมใช้: โทเคนที่สามารถใช้งานได้ทันที มีแพลตฟอร์มหรือระบบ Ecosystem ที่รองรับอยู่แล้ว
- Utility Token แบบไม่พร้อมใช้: โทเคนที่ยังไม่สามารถใช้งานได้ทันที อาจอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มหรือ Ecosystem ที่จะรองรับ
ทั้งโทเคนแบบพร้อมใช้และไม่พร้อมใช้ยังถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย 2 กลุ่ม:
- กลุ่มที่ 1: เป็นไปตามเกณฑ์เดิมที่ ก.ล.ต. เคยประกาศ เช่น โทเคนที่ใช้งานในการอุปโภคบริโภค ไม่สามารถลิสต์บนตลาดรองได้
- กลุ่มที่ 2: รวมถึงโทเคนประเภท DeFi, Native Token, เหรียญของ Exchange ต่าง ๆ และ Governance Token การลิสต์บนกระดานซื้อขายจะต้องผ่านกระบวนการขออนุญาตและยื่นไฟลิ่งผ่าน ICO Portal
ข้อกำหนดหลัก:
- การเสนอขายในตลาดแรก (Primary Market): สำหรับโทเคนในกลุ่มที่ 2 หากต้องการลิสต์บนกระดานซื้อขาย ผู้ประกอบการจะต้องขออนุญาตโดยยื่นไฟลิ่งผ่าน ICO Portal แต่ถ้าไม่ลิสต์ก็ไม่ต้องขออนุญาต ใช้หลักเกณฑ์เหมือนกลุ่มที่ 1
- ตลาดรอง (Secondary Market): สำหรับ Utility Token กลุ่มที่ 1 ห้ามลิสต์บนกระดานซื้อขาย เพราะวัตถุประสงค์หลักคือการใช้งานในบริโภค แต่สำหรับ Utility Token กลุ่มที่ 2 สามารถลิสต์ได้หากผู้ประกอบการมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและทำตาม Listing Rule
- ข้อกำหนดพิเศษสำหรับกลุ่มที่ 2: โทเคนจะต้องไม่มีลักษณะเป็นสื่อกลางในการชำระเงิน (Mean of Payment) และผู้ออกโทเคนห้ามรับ Staking เอง
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้เน้นการคุ้มครองผู้ลงทุน และกำหนดกรอบที่ชัดเจนสำหรับการออกโทเคนเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
Cr.สำนักข่าวอินโฟเควสท์
----------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4yo