forex_calendar

1.  ตั้งเวลาให้ตรงกับประเทศไทยคือ (GMT+7:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta
2.  ไว้สำหรับเลือกวันที่ต้องการดูข่าว
3.  เวลาข่าวออก
4.  ตระกูลเงินของข่าว
5.  ความรุนแรงของข่าว
6.  เหตุการณ์ของข่าว
7.  ค่าตัวเลขจริงที่ออก
8.  ค่าตัวเลขคาดการณ์
9.  ค่าตัวเลขครั้งก่อน

forex_calendar

เมื่อถึงเวลาข่าวออกตัวเลขค่าจริงจะแสดงออกมาในช่อง Actual ซึ่งจะมีสีแตกต่างกันดังนี้

  • ตัวเลขออกเป็นสีเขียวแสดงตัวเลขดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
  • ตัวเลขออกเป็นสีแดงแสดงว่าตัวเลขแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้
  • ตัวเลขออกเป็นสีดำแสดงว่าตัวเลขเท่ากับค่าที่คาดการณ์หรือใกล้เคียงกับสถิติเดิม (Previous)

 

สิ่งที่ต้องสนใจในการเทรดข่าว Forex

 

1.  เรื่องค่าสกุลเงิน ถ้าเทรดสกุลไหนก็ต้องสนใจเฉพาะสกุลนั้น เช่นถ้าเราเช่น EUR/USD ก็สนใจเฉพาะข่าวของ USD และ EUR และเราต้องรู้ด้วยว่าถ้าข่าวออกมาจะทำให้ค่าเงินเราขึ้นหรือลง เช่น ถ้าเราเล่น EUR/USD ถ้าข่าวดอลลาร์สหรัฐออกมาดีแสดงคู่เงินที่มี USD อยู่หลังกราฟจะลง แต่ถ้าข่าว USD ออกมาไม่ดีกราฟจะขึ้น ในทางกลับกันถ้าข่าว EUR ออกมาดีกราฟจะขึ้นแต่ถ้าข่าว EUR ออกมาไม่ดีกราฟจะลง

2. เรื่องระดับความแรงของข่าว ระดับความแรงขอข่าวจะมีสามระดับดังรูป

forex_calendar

3. ค่าตัวเลขจริงที่ออก(Actual) ถ้าค่าตัวเล่นจริงที่ออกมาต่างจากค่าก่อนหน้า(Previous)มาก ยิ่งมีผลทำให้ค่าเงินวิ่งขึ้นลงแรงมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความแรงของข่าวด้วย

ตลาดหุ้นจีนเติบโตกว่าใครเพื่อน เพราะรัฐอยู่เบื้องหลัง

ภาพรวมและบรรยากาศการของลงทุนในตลาดหุ้นของจีนในช่วงนับตั้งแต่ต้นปี 2024 เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนและเต็มไปด้วยความท้าทาย ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เริ่มต้นจากนโยบายการควบคุมการระบาดของโควิด-19

อย่างนโยบาย Zero Covid ที่สุดแสนจะเข้มงวดของรัฐบาลจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นจีนปิดประเทศห้ามคนในบินออก ห้ามคนนอกเข้าประเทศ ทุกอย่างถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจเติบโตเป็นศูนย์ บรรดาบริษัทขนาดใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจและรายได้ที่ลดลง แน่นอนว่ามันส่งผลต่อ Sentiment ของตลาดหุ้นอย่างแน่นอน
คาดความหวังของนักลงทุนที่อยากจะเห็นจีนเติบโตทุก ๆ ปีถูกทำลายด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจปีแล้วปีเล่า ซึ่งมีหรือที่จีนจะยอมให้ภาพลักษณ์ตลาดหุ้นของประเทศพังเละเทะ ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงได้ออกมาตรการ “พยุงตลาดหุ้น” ขึ้นมา ซึ่งผู้สันทัดกรณีหลายฝ่ายกังวลว่านี่อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่อยากจะดึงเม็ดเงินของต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศจีนหรือไม่ ซึ่งเมื่อไร้แรงอุดหนุนจากภาครัฐ ภาพที่แท้จริงอาจปรากฏขึ้น ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนจะต้องสูญเงินลงทุนหรือไม่อย่างไร
แม้จะเริ่มฟื้นตัวจากการเปิดประเทศหลังผ่านศึกหนักกับโควิดมาแล้ว แต่ปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมอย่างปัญหา China Evergrande บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของจีนไม่สามารถหาเงินกู้ได้ทันเส้นตายหลายครั้ง สุดท้ายล้มละลาย ก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อทั้งภาคอสังหาฯ และภาคการเงินของจีนเป็นอย่างมาก ยังไม่รวมปัญหาที่จีน “คุมกำเนิด” Ant Financial หนึ่งในบริษัทในเครือ Alibaba Group ของ แจ็ค หม่า ที่หวังให้การเงินของประเทศก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มตัว
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงดำเนินต่อไป โดยมีการกีดกันทางการค้าและข้อจำกัดต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อบรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ความกังวลเรื่องการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์และการพึ่งพาซัปพลายเชนจากต่างประเทศเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุน ทั้งหมดที่เอ่ยถึงนี้แน่นอนว่าด้วยธรรมชาติของจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์ทำให้การวางกฎกติกาค่อนข้างเข้มงวดและเอาจริง ซึ่งพอภาพของเศรษฐกิจจริงเป็นแบบนี้ ภาพของตลาดหุ้นเลยมีความกังวล นักลงทุนส่วนใหญ่ใครหรือจะกล้าขนเงินเข้าไปนอนนิ่ง ๆ ไว้กับตลาดหุ้นที่วันนี้รัฐบาลพูดไว้อย่าง อีกวันอาจจะเปลี่ยนไปอีกอย่างก็เป็นไปได้ จึงส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นของจีน
อย่างไรก็ตาม ฉันใดก็ฉันนั้น มีลงแล้วก็ต้องมีขึ้น ตลาดหุ้นจีนไม่ได้พบเจอแต่ความท้าทาย ในช่วงกลางปีบรรดาบริษัทสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดหลายรายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จุดประกายความหวังให้แก่นักลงทุนที่คาดหวังในศักยภาพการเติบโตของภาคส่วนเหล่านี้ในระยะยาว การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนระหว่างจีนกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ก็ช่วยหนุนเสถียรภาพของตลาดบ้างในช่วงปลายปี
แต่มีประเด็นหนึ่งที่สำนักข่าวต่างประเทศให้ความสนใจและพูดถึง ก็คือ ในเมื่อประเทศจีนเผชิญกับปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน แต่ไฉนดัชนีตลาดหุ้นจีนไม่ได้ตกต่ำลงเลย หนำซ้ำยังทำทีท่าว่าจะฟื้นตัวกลับมาด้วยซ้ำ ผู้เชี่ยวชาญให้ความคิดเห็นเรื่องการ “ช่วยพยุงตลาดหุ้น” ของรัฐบาลจีนว่าพวกเขาตั้งใจมากกับการที่จะต้องทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่หันหน้าหนีพญามังกร ว่าแต่พวกเขาทำอย่างไร วันนี้เราจะพาผู้อ่านไปดูแท็คติกที่จีนใช้เพื่อทำให้ตลาดหุ้นจีนยังสดใสแม้ในวันที่ Real Sector หม่นหมอง
ทำไมรัฐบาลจีนต้องเข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้น
รัฐบาลจีนค่อนข้างจะมีความมุ่งมั่นในเรื่องการทำให้เศรษฐกิจเติบโตในทุก ๆ ปี เพราะพวกเขาไม่อยากจะพ่ายแพ้ต่อมหาอำนาจอย่างอเมริกา และต้องการขยายขนาดเศรษฐกิจให้ทัดเทียมและแซงหน้าอเมริกาให้ได้ ซึ่งภาพสะท้อนของเศรษฐกิจของประเทศนั้นออกมาทางตลาดหุ้น เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นจีนดูไม่ดีเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อตลาดดูไม่ดีก็ไม่อยากมีใครมาลงทุน มหกรรมช่วยอุ้มชูจึงเกิดขึ้น และเหตุผลที่ทำให้จีนต้องพยุงตลาดหุ้นก็มีมากกว่านั้น อย่างเช่น
1. รักษาความเชื่อมั่นของตลาด รัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพของความเชื่อมั่นของตลาดโดยการแทรกแซงตลาดเพื่อป้องกันการลดลงอย่างรวดเร็วและรักษาระดับราคาหุ้นไว้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุนและลดความเสี่ยงของการล่มสลายของตลาด
2. สนับสนุนนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนรายย่อยซึ่งประกอบด้วยอย่างน้อย 80% ของตลาด ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการตกต่ำของตลาด การแทรกแซงของรัฐบาลช่วยบรรเทาความสูญเสียทางการเงินและรักษาความไว้วางใจในตลาด
3. รักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นที่มั่นคงถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ รัฐบาลเชื่อว่าตลาดหุ้นที่แข็งแกร่งสามารถช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจได้โดยการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจและสนับสนุนระบบการเงินโดยรวม
4. เพิ่มจุดยืนระหว่างประเทศ จุดยืนระหว่างประเทศของจีนมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น ตลาดที่มั่นคงและกำลังเติบโตสามารถช่วยเพิ่มชื่อเสียงของประเทศในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
5. ลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ รัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นตลาดหุ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของความผันผวนของตลาดต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง และป้องกันการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
6. สนับสนุนรัฐวิสาหกิจ การแทรกแซงของรัฐบาลในตลาดหุ้นยังสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ (SOE) ด้วยการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มั่นคงและช่วยรักษาส่วนแบ่งการตลาด
7.กระตุ้นการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพจริง รัฐบาลเชื่อว่าตลาดหุ้นที่แข็งแกร่งสามารถช่วยขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้โดยการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจและสนับสนุนระบบการเงินโดยรวม
เหตุผลเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาตลาดหุ้นให้มั่นคงในประเทศจีน ซึ่งถูกมองว่ามีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและจุดยืนระดับนานาชาติ
มาตรการอะไรบ้างที่รัฐบาลจีนเอามาใช้เพื่อพยุง
The Economist บอกว่าส่วนหนึ่งที่หุ้นจีนวิ่งแรงมาจากการซื้อหุ้นมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์โดยในเนื้อข่าวใช้คำว่า “National Team”“ทีมชาติ” ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยถึงเป็นกลุ่มสถาบันของรัฐที่ให้การช่วยเหลือตลาดทุนของประเทศเมื่อตลาดกำลังขาดความเชื่อมั่นและสั่นคลอน เรามาดูกันว่าจีนใช้นโยบายอะไรบ้างเพื่อทำให้ตลาดหุ้นดูดี
1. ให้องค์กรทีมชาติเข้าแทรกแซงตลาดหุ้น รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งให้หน่วยงานที่รัฐเป็นเจ้าของเข้าแทรกแซงตลาดหุ้นคำว่า “ทีมชาติ” ในที่นี้หมายถึงกลุ่มสถาบันของรัฐที่เข้ามาแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพในช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวาย
1.1 รัฐวิสาหกิจ (SOEs) เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของและควบคุม พวกเขามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและมักจะเกี่ยวข้องกับภาคส่วนเชิงกลยุทธ์ เช่น พลังงาน การเงิน และโครงสร้างพื้นฐาน
1.2. สถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ สถาบันต่าง ๆ เช่น China Securities Finance Corp. และ Central Huijin Investment Ltd. ซึ่งมีหน้าที่จัดการและลงทุนในกองทุนของรัฐในตลาดทุน
1.3 กองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เป็นกองทุนที่รัฐบาลจัดการเพื่อสนับสนุนตลาดหุ้น มักใช้เพื่อซื้อหุ้นและทำให้ตลาดมีเสถียรภาพ
1.4 บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ บริษัทเหล่านี้จัดการและลงทุนสินทรัพย์ของรัฐ รวมถึงสินทรัพย์ในตลาดหุ้น เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพของตลาด
2. การลดต้นทุนการซื้อขาย รัฐบาลจีนได้มีการสั่งการให้หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์เสนอให้ลดต้นทุนการซื้อขายเพื่อทำให้ตลาดน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุน (เพิ่ม Liquidity)
3. สนับสนุนการซื้อคืนหุ้น รัฐบาลสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนเข้าซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองคืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มราคาหุ้นได้
4. ยุติความเฟื่องฟูของการเสนอขายหุ้น IPO รัฐบาลจีนหันมาควบคุมไม่ให้บริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจ “อะไรก็ได้” เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะว่า เมื่อธุรกิจที่ไม่มีศักยภาพในการเติบโตเข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุน ทำให้เมื่อถึงเวลาหนึ่งหุ้นจะหยุดโตเนื่องจากอย่างที่ทราบว่า ราคาหุ้นวิ่งตามกำไรของบริษัท เมื่อบริษัทไม่ทำกำไร ราคาหุ้นก็ตก ส่งผลให้นักลงทุนไม่อยากจะเข้ามาลงทุน ด้วยเหตุนี้เองรัฐบาลจีนจึงใช้มาตรการ “รัฐเลือก” บริษัทที่รัฐมีส่วนความเป็นเจ้าของมาลิสต์ในตลาด เพราะรัฐมองว่าอะไรที่รัฐเลือกย่อมดีและที่สำคัญรัฐมีเงินที่จะดันธุรกิจให้ไปต่อได้ไม่ล้มละลาย จากแนวคิดนี้รัฐบาลจีนเชื่อว่าเมื่อบริษัทมีคุณภาพเข้าจดทะเบียนเป็นหุ้นที่มีคุณภาพ กำไรเติบโต ราคาก็วิ่ง และทำให้นักลงทุนอยู่กับตลาดเพราะเชื่อมั่นในหุ้น
5. ระดมเงินมาลงทุน รัฐบาลจีนมีแผนที่จะรักษาระดับเงินลงทุนจากต่างประเทศให้อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านล้านหยวน (278 พันล้านดอลลาร์) จากบัญชีนอกประเทศของรัฐวิสาหกิจ และจัดสรรเงินทุนในประเทศจำนวน 300 พันล้านหยวนเพื่อลงทุนในหุ้นในประเทศผ่านสถาบันการเงินของรัฐ
6. การสนับสนุนด้านกฎระเบียบ คณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีน (The China Securities Regulatory Commission : CSRC) ได้ออกแถลงการณ์ให้คำมั่นที่จะฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยการเพิ่มคุณภาพบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กระตุ้นให้มีการซื้อหุ้นคืนมากขึ้น และชะลอการเสนอขายหุ้นใหม่
7. การลดอากรแสตมป์ ในประเทศจีนหากคุณต้องการซื้อหุ้น คุณจะต้องเสียค่าอากรแสตมป์ในการทำธุรกรรมหลักทรัพย์ด้วย โดยอากรแสตมป์คือภาษีที่เรียกเก็บจากการซื้อและการขายหลักทรัพย์ เช่น หุ้น พันธบัตร และเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ โดยทั่วไปอากรจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าธุรกรรมและจะชำระโดยผู้ซื้อหรือผู้ขาย ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจศาลและหลักทรัพย์เฉพาะที่มีการซื้อขาย ดังนั้น ในยุคพยุงตลาดหุ้นรัฐบาลจีนได้มีคำสั่งให้ลดค่าอากรแสตมป์ในการซื้อขายหุ้นลงครึ่งหนึ่งเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2023 ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นที่กำลังซบเซา
8. การส่งเสริมการลงทุนระยะยาว: CSRC ได้สนับสนุนให้นักลงทุนระยะกลางและระยะยาว เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐ และกองทุนบริหารความมั่งคั่ง เพิ่มการลงทุนในตราสารทุนอันเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยพยุงราคาหลักทรัพย์
9. จำกัดการให้ยืมหลักทรัพย์: CSRC มีการเข้มงวดกับธุรกิจบริการให้ยืมหลักทรัพย์และเข้มงวดการตรวจสอบธุรกรรมอาร์บีทาร์ตที่ไม่เหมาะสม
10. ตรวจสอบการซื้อขายเชิงปริมาณ* ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น: หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มตรวจสอบกองทุนเฮดจ์ฟันด์และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใช้กลยุทธ์การซื้อขายเชิงปริมาณในเดือนกันยายน 2023 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง
*การซื้อขายเชิงปริมาณ (Quantitative trading) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Quant trading เป็นวิธีปฏิบัติทางการเงินที่ใช้ประโยชน์จากอัลกอริทึมคอมพิวเตอร์และแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อค้นหาและใช้ประโยชน์จากโอกาสในการซื้อขาย แนวทางนี้ครอบคลุมทั้งการระบุแนวโน้มการทำกำไรและการวิจัยข้อมูลในอดีตเพื่อค้นหาผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น
11.ส่งเสริมภาพลักษณ์บริษัทจดทะเบียน: บริษัทจดทะเบียนหลายร้อยแห่งประกาศต่อสาธารณะว่าพวกเขาจะปรับปรุงคุณภาพองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพ และเน้นย้ำถึงผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นมากขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในตลาด
พยุงแล้วดีขึ้นไหม สิ้นสุดเมื่อไหร่
ตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดหุ้นที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในโลก โดยดัชนี Shanghai Shenzhen CSI 300 ลดลงประมาณ 20% นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2023 การตกต่ำของตลาดหุ้นนี้ส่วนหนึ่งมาจากความคาดหวังต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวัง แต่หลังจากรัฐบาลจีนประกาศว่าจะกระตุ้นความเชื่อมั่นนักลงทุนและพยุงตลาดหุ้นโดยใช้มาตรการต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในหัวข้อที่แล้ว แล้วผลลัพธ์ในระยะสั้นดูเหมือนจะช่วยให้ตลาดหุ้นตื่นฟื้นตัวกลับมาได้ดีโดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเพิ่มขึ้น 13% จากระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ซึ่งช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนรายย่อยและรัฐบาล
เสถียรภาพตลาดดีขึ้น มาตรการดังกล่าวช่วยสร้างเสถียรภาพของตลาด ลดความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นกับตลาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น การแทรกแซงของรัฐบาลและการสนับสนุนด้านกฎระเบียบช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น และเพิ่มปริมาณการซื้อขาย
ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีนักลงทุนเข้าสู่ตลาดมากขึ้นและกิจกรรมการซื้อขายก็เพิ่มขึ้น
สภาพคล่องของตลาดดีขึ้น การแทรกแซงของรัฐบาลและการสนับสนุนด้านกฎระเบียบช่วยปรับปรุงสภาพคล่องของตลาด ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อและขายหุ้นได้ง่ายขึ้น
ความผันผวนของตลาดลดลง มาตรการเหล่านี้มีส่วนช่วยความผันผวนของตลาดลดลงเพราะการแทรกแซงของรัฐบาลและการสนับสนุนด้านกฎระเบียบทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงและคาดการณ์ได้ต่อตลาด
ผลกระทบระยะยาว แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ยังทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของตลาดและการเติบโตของบริษัทที่มีนวัตกรรม
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์เศรษฐกิจโลกถือว่าค่อนข้างไม่เป็นใจต่อตลาดหุ้นไม่ว่าจะที่ใดในโลก ไล่เรียงจากโควิด มาสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นชนวนให้เกิดวิกฤตพลังงาน ลามมาจนถึงภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นในหลายประเทศประสบปัญหาการร่วงลงอย่างรุนแรง นักลงทุนทั่วโลกต่างวิตกกังวลต่อความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น
แม้แต่ประเทศที่ถือว่ามีทั้งเงินและทรัพยากรอย่างตลาดหุ้นจีน ก็ไม่รอดพ้นจากสภาวะดังกล่าว ร่วงหนักลากยาวมาตั้งแต่ Zero Covid อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนก็ไม่นิ่งนอนใจ และดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อพยุงตลาดหุ้นไม่ให้ร่วงลงมากจนเกินไป
แม้ว่าการดำเนินมาตรการเหล่านั้นจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดและสามารถทรงตัวได้ดีกว่าตลาดอื่น ๆ บ้างก็ตาม แต่ก็ยังมีแรงกดดันมาจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้ากับสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอยู่ดี
ดังนั้น แม้รัฐบาลจีนจะพยายามอย่างเต็มที่ในการพยุงตลาดหุ้นเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายรุนแรงนัก แต่ในระยะสั้นก็ยากที่จะกลับมาสดใสเหมือนก่อนหน้านี้ ดังนั้น ก็พูดได้ว่าตลาดหุ้นของจีนอาจจะต้องยังรอรอคอยสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งต้องมาจากปัจจัยพื้นฐาน ต่อไป

คลิก

Cr.Bank’s Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"