forex_calendar

1.  ตั้งเวลาให้ตรงกับประเทศไทยคือ (GMT+7:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta
2.  ไว้สำหรับเลือกวันที่ต้องการดูข่าว
3.  เวลาข่าวออก
4.  ตระกูลเงินของข่าว
5.  ความรุนแรงของข่าว
6.  เหตุการณ์ของข่าว
7.  ค่าตัวเลขจริงที่ออก
8.  ค่าตัวเลขคาดการณ์
9.  ค่าตัวเลขครั้งก่อน

forex_calendar

เมื่อถึงเวลาข่าวออกตัวเลขค่าจริงจะแสดงออกมาในช่อง Actual ซึ่งจะมีสีแตกต่างกันดังนี้

  • ตัวเลขออกเป็นสีเขียวแสดงตัวเลขดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
  • ตัวเลขออกเป็นสีแดงแสดงว่าตัวเลขแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้
  • ตัวเลขออกเป็นสีดำแสดงว่าตัวเลขเท่ากับค่าที่คาดการณ์หรือใกล้เคียงกับสถิติเดิม (Previous)

 

สิ่งที่ต้องสนใจในการเทรดข่าว Forex

 

1.  เรื่องค่าสกุลเงิน ถ้าเทรดสกุลไหนก็ต้องสนใจเฉพาะสกุลนั้น เช่นถ้าเราเช่น EUR/USD ก็สนใจเฉพาะข่าวของ USD และ EUR และเราต้องรู้ด้วยว่าถ้าข่าวออกมาจะทำให้ค่าเงินเราขึ้นหรือลง เช่น ถ้าเราเล่น EUR/USD ถ้าข่าวดอลลาร์สหรัฐออกมาดีแสดงคู่เงินที่มี USD อยู่หลังกราฟจะลง แต่ถ้าข่าว USD ออกมาไม่ดีกราฟจะขึ้น ในทางกลับกันถ้าข่าว EUR ออกมาดีกราฟจะขึ้นแต่ถ้าข่าว EUR ออกมาไม่ดีกราฟจะลง

2. เรื่องระดับความแรงของข่าว ระดับความแรงขอข่าวจะมีสามระดับดังรูป

forex_calendar

3. ค่าตัวเลขจริงที่ออก(Actual) ถ้าค่าตัวเล่นจริงที่ออกมาต่างจากค่าก่อนหน้า(Previous)มาก ยิ่งมีผลทำให้ค่าเงินวิ่งขึ้นลงแรงมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความแรงของข่าวด้วย

 ชวนสำรวจการขึ้นค่าแรงทั่วโลก ทำไม 'ของแพง' แต่ไทยขึ้นค่าแรงไม่ได้?

ของแพง-ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับค่าแรงที่ยังคงย่ำอยู่ที่เดิม เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย? ชวนสำรวจค่าแรงขั้นต่ำจากหลายประเทศทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พร้อมไขข้อสงสัยเพราะเหตุใดไทยถึงยังไม่ขึ้นค่าแรง

ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ประเทศไทยเองก็เช่นเดียวกัน จากรายงานของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ระบุว่าเศรษฐกิจโลกหดตัวร้อยละ 3.5 และเกือบทุกประเทศทั่วโลกมีการเติบโตติดลบ
การชะงักของเศรษฐกิจถูกหยิบยกมาเป็นเหตุผลในการพิจารณาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งการที่จะขึ้นหรือไม่ขึ้น หรือหากขึ้นจะส่งผลให้ค่าอาหาร วัตถุดิบ สูงขึ้นตามหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกัน จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุว่า หลังรัฐประหาร 7 ปี นับตั้งแต่พฤษภาคม 2014 จนถึงปี 2021 ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 55.9% หรือหากเทียบต่อปี ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นปีละ 6.5%
Rocket Media Lab ซึ่งทำงานด้านข้อมูลเพื่อสื่อสารมวลชน ชวนมาสำรวจค่าแรงขั้นต่ำทั่วโลกในช่วงปีนี้และปีที่ผ่านมา ที่แม้ว่าทั่วโลกจะประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนกัน ว่ามีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกันบ้างไหม หรือมีแต่ประเทศไทยที่ไม่ขึ้น?
โควิด-เศรษฐกิจตกต่ำ แล้วค่าแรงขึ้นบ้างไหม?
จากการทำงานของ Rocket Media Lab ซึ่งทำงานด้านข้อมูลเพื่อสื่อสารมวลชน พบว่า ประเทศ/ดินแดน ที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 มีจำนวน 61 แห่ง จาก 199 แห่งที่สำรวจ แบ่งเป็นประเทศที่ประกาศขึ้นเฉพาะในปี 2022 จำนวน 16 แห่ง และประเทศที่มีการขึ้นค่าแรงทั้งในปี 2021 และในปี 2022 จำนวน 45 แห่ง
หากพิจารณาของประเทศที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะในปี 2022 จะพบว่ากระจายตัวกันไปในทุกทวีป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นประเทศในแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี โปรตุเกส สหราชอาณาจักร ฯลฯ
อย่างกรณีของเยอรมนี เรียกได้ว่าในปี 2022 นี้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสองครั้ง โดยครั้งแรกมีผล 1 มกราคมที่ผ่านมา ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 9.82 ยูโร หรือ 374.13 บาทต่อชั่วโมง จากเดิมคือ 9.60 ยูโรหรือ 358.36 บาทต่อชั่วโมงในปี 2021 (เพิ่มขึ้นมา 22 เซนต์) หรือ 3.64% นอกจากนี้รัฐบาลเยอรมันยังประกาศอีกว่า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกครั้งเป็น 10.45 ยูโรในวันที่ 1 กรกฎาคม 2022
ในส่วนของเอเชียก็มีบางประเทศประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2022 เช่นเดียวกัน เช่น กัมพูชา จีน (บางมณฑล) อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ฯลฯ อย่างในกรณีของประเทศจีน มีสามมณฑลที่ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ได้แก่ ฉงชิ่งและฝูเจี้ยน ขึ้นเป็น 21 หยวนต่อชั่วโมง และเหอหนาน ขึ้นเป็น 19.6 หยวนต่อชั่วโมง
สำหรับประเทศที่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะในปี 2021 ที่ผ่านมา มีจำนวน 32 ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย ฮ่องกง ชิลี เบอร์กินาฟาโซ ออสเตรเลีย บาฮามาส แองโกลา มาลาวี ซีเรีย เวเนซุเอลา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แม้กรณีของเวเนซุเอลา ที่ประกาศเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในปี 2021 เป็น 7 ล้านโบลิวาร์เวเนซุเอลาต่อเดือน บวกกับคูปองค่าอาหารที่รัฐบาลให้อีก 3 ล้านโบลิวาร์เวเนซุเอลา รวมเป็น 10 ล้านโบลิวาร์ แต่เวเนซุเอลาเกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (hyperinflation) อยู่ที่ 5,500%
เมื่อพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 พบว่า เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ถึงกระนั้น หลายประเทศก็ยังเลือกที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั้งในปี 2021 และ 2022 ซึ่งมีมากถึง 93 ประเทศ
ในส่วนของประเทศที่ไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีจำนวน 84 แห่งจาก 199 แห่งที่สำรวจ เช่น อูกันดา โตโก เวียดนาม ซูดาน โคโซโว ฟิลิปปินส์ เปรู เกาหลีเหนือ พม่า มาเลเซีย รวมไปถึงประเทศไทย
นอกจากนี้ มีบางประเทศที่เพิ่งจะกำหนดค่าแรงขั้นต่ำขึ้น เช่น มัลดีฟส์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมัลดีฟส์ออกคําสั่งตามพระราชบัญญัติการจ้างงานเพื่อกําหนดค่าจ้างขั้นต่ำครั้งแรกในมัลดีฟส์ ซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำจะมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2022 ถือเป็นการประกาศการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำครั้งแรก คิดเป็นชั่วโมงละ 21.63 รูฟียาห์มัลดีฟส์ หรือ 46.53 บาทต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังมีประเทศที่ไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ 22 ประเทศ เช่น เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน อิตาลี ลิกเทนสไตน์ สิงคโปร์ ฯลฯ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่มีการขึ้นค่าแรง แต่เป็นการกำหนดค่าแรงกันเองบนความเสมอภาคระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยที่รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซง
อาทิ กรณีของสิงคโปร์ แม้จะไม่ได้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ แต่มีการประกันค่าแรงสำหรับบางอาชีพ เช่น พนักงานทำความสะอาดต้องได้รับค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนคือ 1,274 ดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายปรับค่าแรงแบบขั้นบันไดทุกปีไว้อีกด้วย
ค่าแรงขั้นต่ำไทย ต่ำไปไหม ทำไมไม่เท่ากัน
ค่าแรงขั้นต่ำ หมายถึง จํานวนเงินค่าตอบแทนแบบต่ำสุดที่นายจ้างต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้างสําหรับการทำงาน ซึ่งโดยมากกำหนดโดยรัฐ ในที่นี้จะเรียกว่าค่าแรงขั้นต่ำ และแน่นอนว่าค่าแรงขั้นต่ำส่งผลดีต่อลูกจ้าง ซึ่งจะได้รับการคุ้มครอง ปกป้องจากการแสวงหาประโยชน์ของนายจ้าง รวมถึงได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม โดยนิวซีแลนด์เป็นประเทศแรกที่มีกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำใน ค.ศ. 1894
สำหรับประเทศไทย แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำมีจุดประสงค์คือ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง เพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ลูกจ้างสามารถดำรงชีพอยู่เหนือระดับความยากจนได้ ซึ่งค่าแรงขั้นต่ำกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายแก่ลูกจ้างทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติ ศาสนา หรือเพศใดก็ตาม ครอบคลุมไปถึงลูกจ้างต่างชาติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้บังคับใช้แก่ลูกจ้างในภาคราชการและรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังระบุว่า ค่าแรงขั้นต่ำมีให้เพียงพอสำหรับดำรงชีพคนเดียว ไม่รวมครอบครัว ขณะที่ตามความหมายของสากลระบุว่าต้องเพียงพอให้คนงานเลี้ยงดูภรรยาและบุตรอีก 2 คนได้
ประเทศไทยมีการประกาศกำหนดค่าแรงขั้นต่ำมาตั้งแต่ พ.ศ. 2516 โดยเริ่มจาก 12 บาทในรัฐบาลพลเอกถนอม กิตติขจร และล่าสุดอยู่ที่ 331 บาท (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) ซึ่งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2563 ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ปัจจุบันมีการถกเถียงกันว่าค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นควรปรับขึ้นได้หรือยัง และควรปรับเป็นเท่าไร เท่าไรถึงจะเหมาะสมกับค่าครองชีพที่นับวันยิ่งสูงขึ้น ดังเช่นปรากฏการณ์ หมูแพง น้ำมันแพง ข้าวของขึ้นราคาที่เกิดขึ้นในตอนนี้
จากการสัมภาษณ์ บุญยืน สุขใหม่ นักสหภาพแรงงาน ในประเด็นเรื่องการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เขามองว่า
“สมมติบางคนอาจจะจบมัธยมปลายมาแล้วเริ่มทำงาน หรือบางคนอาจจะไม่ได้เรียนมา แล้วมาทำงาน ทำไประยะหนึ่งมีสกิลเพิ่มขึ้น คนเหล่านั้นก็ไม่ควรจะถูกนิยามด้วยคำว่าค่าแรงขั้นต่ำ คือตอนที่เรายังไม่มีสกิลก็มีค่าแรงเริ่มต้นในการทำงานแต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นว่าค่าแรงขั้นต่ำมันถูกบังคับใช้ในทุกคน เป็นเหมาค่าแรง เป็น subcontract สิบกว่าปีก็ยังใช้ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วมันผิดกับนิยามความหมายของคำว่าค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างพื้นฐาน สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ามาในการประกอบวิชาชีพในระบบแรงงานเบื้องต้น”
ในขณะที่ ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และที่ปรึกษาคณะกรรมการค่าจ้าง ให้ความเห็นส่วนตัวว่า
“ค่าแรงขั้นต่ำโดยนิยามของบ้านเรา ออกแบบไว้สำหรับแรงงานแค่คนเดียว ให้ใช้พอที่จะดูแลตัวเองตามอัตภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเขามีครอบครัว เขาจะเพียงพอเลี้ยงครอบครัว ในแง่ของการมีครอบครัว เราอาจมีข้อสมมติฐานบางตัวว่าครอบครัวก็ต้องทำงานด้วยนะ หารายได้เข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นตัวค่าแรงขั้นต่ำบ้านเรา จึงถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่เยอะเหมือนกับที่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แนะนำ หรือว่าทำไมไม่เป็น 500 - 600 บาท เพราะว่าอันนั้นเขามีการคิดคำนึงถึงส่วนที่แรงงานมีครอบครัวไปด้วย แต่ในจำนวนสามร้อยกว่าบาทที่เราคิดมา มันก็จะมีในส่วนที่เราเรียกว่าเป็นการดูแลชีวิตตามอัตภาพ”
หากพิจารณาดูจากข้อมูลจะพบว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยนั้นมีความไม่แน่นอน และในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน รวมไปถึงบางครั้งก็มีการขึ้นบางพื้นที่ไม่ขึ้นบางพื้นที่ อย่างในกรุงเทพมหานคร มีการขึ้นในปีเดียวสองครั้งในช่วงรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์, รัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ และรัฐบาลชวน หลีกภัย
ในขณะเดียวกัน ก็มีบางช่วงเวลาที่ไม่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพมหานครเลย เช่น ช่วงปี พ.ศ. 2544-2551 หรือช่วงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยให้เหตุผลว่าค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลนั้นสูงอยู่แล้ว จึงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในจังหวัดอื่นแทน อาทิ ชลบุรี ได้ 146 บาท (เดิม 143 บาท) อ่างทองได้ 138 บาท (เดิม 133 บาท) นอกจากนี้พบว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยอยู่ในยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเพิ่มจาก 215 บาท เป็น 300 บาท
ทั้งนี้ ศุภชัย อธิบายว่า คณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำมีสองระดับใหญ่ คือที่เป็นระดับชาติแล้วก็เป็นของจังหวัด จังหวัดมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับอีกส่วนหนึ่งเป็นระบบที่เราเรียกว่าไตรภาคี ก็จะมีอีกสองกลุ่มก็คือกลุ่มนายจ้างที่เป็นผู้แทนนายจ้าง แล้วก็กลุ่มที่เป็นผู้แทนลูกจ้างโดยหลักของจังหวัดก็จะเสนอตัวเลขมาที่ส่วนกลาง อนุฯ วิชาการส่วนกลางก็จะทำการกลั่นกรองว่าตัวเลขตัวนั้นเมื่อมองในภาพรวมแล้วเหมาะสมไหม
อย่างไรก็ตาม ศุภชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า ถ้าจังหวัดอยู่ในบริเวณละแวกเดียวกัน ตัวเลขค่าแรงต่างกันเยอะมาก ก็จะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน อีกทั้งค่าครองชีพแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน การเติบโตก็ต่างกัน การจะขึ้นในอัตราเดียวกันหมด ก็อาจจะสร้างความสูญเสียอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน จังหวัดใดมีโครงสร้างเป็นภาคเกษตรเยอะ การขึ้นค่าจ้างก็อาจจะไม่เหมือนภาคอุตสาหกรรม
ปีนี้จะมีการขึ้นค่าแรงไหม? ทำไมค่าแรงขั้นต่ำของไทยถึงขึ้นยากนัก
กระบวนการการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของไทยต้องผ่านคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนฝ่ายรัฐบาล 4 คน ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละ 5 คน รวม 15 คน แน่นอนว่าทุกครั้งทีมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ หรือเพิ่มค่าแรง จะต้องเห็นชอบ 2 ใน 3 เสียง จึงเกิดการตั้งคำถามว่าในกระบวนการนี้มีความเสมอภาคหรือไม่
บุญยืนให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า
“องค์กรไตรภาคี สามฝ่ายต้องมีเสียงเท่าเทียมกัน แล้วความรู้ก็ต้องเท่าเทียมกันด้วย แต่องค์กรไตรภาคีในบ้านเราทุกวันนี้รัฐมนตรีแต่งตั้งตัวแทนมา เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม สภาลูกจ้างส่งตัวแทนมาแล้วรัฐมนตรีเป็นคนเลือก แตกต่างจากในอดีตที่มีการเลือกตั้งมา พูดง่ายๆ ว่าปัจจุบันนี้มีการวิ่งเต้นกัน มีการล็อบบี้เพื่อที่จะให้รัฐมนตรีแต่งตั้งตัวเองเป็นคณะกรรมการค่าจ้าง ฉะนั้น คนที่วิ่งไปล็อบบี้ให้เขาแต่งตั้งตัวเอง การที่จะต่อสู้เพื่อลูกจ้างก็เป็นไปไม่ได้”
เช่นเดียวกันกับ พรเทพ เบญญาอภิกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มองว่า กระบวนการของคณะกรรมการค่าจ้างแบบไตรภาคีนั้น ตัวแทนของแรงงานอาจจะไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มแรงงาน เป็นการดำเนินงานในวงแคบๆ จึงไม่แน่ใจว่าอำนาจการต่อรองของแรงงานนั้นใช่สิ่งที่แรงงานต้องการจริงๆ หรือไม่ และกลุ่มตัวแทนมีประสบการณ์เชื่อมโยงในฐานะตัวแทนลูกจ้างมากน้อยแค่ไหน
โดยการขึ้นหรือไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นอำนาจการตัดสินใจของคณะกรรมการค่าจ้าง ทั้งค่าจ้างขั้นต่ำรายวันและรายชั่วโมงได้ ครอบคลุมลูกจ้างรายวัน รายเดือน รายเหมา ซึ่งการจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้นั้น ต้องมีการศึกษา และพิจารณาข้อมูลและผลกระทบประกอบ โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณา 9 ประการ ได้แก่ ดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ราคาของสินค้า มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพของแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวม และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการค่าจ้างเห็นว่าไม่จำเป็นต้องปรับ ก็จะไม่มีการต้องปรับขึ้น ทั้งยังมีอำนาจในการชะลอ หรือลดค่าจ้างได้ รวมถึงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทุกระดับ ซึ่งบุญยืนมองว่า
“ (ค่าจ้างแรงงาน) ต้องขึ้นทุกปีครับ มันเป็นปัญหาเพราะว่าค่าจ้างไม่ขยับ หลายคนบอกว่าการขึ้นค่าแรงเดี๋ยวจะเจ๊งกันหมด ของจะขึ้นราคา แต่ถามว่าทุกวันนี้ ค่าแรงยังไม่ขึ้นเลย แต่ว่าของขึ้นราคาไปสองรอบแล้วนะ เพราะอะไร มันไม่มีเหตุไม่มีผลเลย คุณอธิบายแบบกำปั้นทุบดินกันมาก ทำไมเวลาของขึ้นราคาไม่พูดกันว่าค่าแรงก็ต้องขึ้นด้วยสิ ถ้าคุณจะใช้ตรรกะเดียวกันแบบนี้ มันถึงจะยุติธรรม”
ขณะที่ศุภชัย แสดงความเห็นส่วนตัวว่า "เราไม่ได้ขึ้นค่าแรงทุกปี แม้ว่าค่าครองชีพมันปรับขึ้น แต่ค่าครองชีพที่ปรับขึ้นตัวนั้นบางปีมันก็อาจจะไม่ได้ก้าวกระโดด บางปีมันก็ค่อยๆ ปรับขึ้น บังเอิญว่าปีนี้เราอาจจะเห็นว่าของหลายอย่างแพง อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นเราต้องดูสภาพเศรษฐกิจด้วย ตอนนี้มีโควิด เราคิดว่าถ้าปรับขึ้น เราปรับขึ้นเยอะได้แค่ไหน ถ้าเยอะ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือสถานประกอบการที่ลังเลใจว่าจะจ้างแรงงานหรือเปล่า ก็อาจจะตัดสินใจในการที่จะปลดคนงานทิ้งเลย"
ในอีกทางหนึ่ง พรเทพ ในฐานะนักวิชาการผู้เคยเขียนงานวิจัยศึกษานโยบายค่าแรง 300 บาทในยุคพรรคเพื่อไทยมองว่า การขึ้นค่าแรงอาจจะไม่ได้มีผลต่อการจ้างงานมากนัก
“จากงานศึกษาผลกระทบของการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทในปี 2013 พบว่า ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นราว 1% เท่านั้น และการขึ้นค่าแรงนี้เป็นส่วนหนึ่งในแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต มากกว่าจะแข่งขันเรื่องแรงงานราคาถูก ค่าแรงในไทยเหมือนถูกแช่แข็งไว้หลายปี สัดส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำในไทยโตน้อยมาก เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น”
ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ 313 บาท ในจังหวัดจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา ถือเป็นจังหวัดที่ค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำสุดจากทั้งประเทศ ในขณะที่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร นั้นมีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 331 บาทต่อวัน และค่าแรงขั้นต่ำที่สูงที่สุดในประเทศคือ 336 บาทต่อวัน ในจังหวัดชลบุรีและภูเก็ต
ไม่นานมานี้ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เสนอให้รัฐบาลปรับค่าแรงเป็น 492 บาททั่วประเทศ แต่ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดจากรัฐบาลว่าจะขึ้นหรือไม่ เมื่อไร และหากขึ้นขึ้นที่ตัวเลขเท่าใด
ซึ่งศุภชัยกล่าวถึงประเด็นนี้ในมุมมองส่วนตัวว่า
“เราไม่ได้ขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว คิดว่ามีแนวโน้มที่จะมีการปรับขึ้น แต่ปรับเท่าไรขอให้รอดูสักนิด เพราะว่าสถานการณ์รายวันมันเปลี่ยนเร็วมาก คิดว่าไม่นานอย่างที่คิด โดยนโยบายน่าจะเสร็จก่อนการเลือกตั้ง เพราะว่าหลายรัฐบาลก็ใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำเป็นนโยบายในการหาเสียงด้วย ผมคิดว่าก็คงจะมีอะไรที่ชัดเจนมากขึ้นก่อนการเลือกตั้ง”
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

คลิก

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
----------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"