สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้ลงมติยกเลิกกฎภาษีที่กำหนดให้ "นายหน้าที่ดูแลทรัพย์สิน" ต้องรวบรวมและรายงานข้อมูลผู้ใช้ไปยังกรมสรรพากร (IRS) โดยมติดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากทั้งสองพรรค รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 291 คน

ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโตในสหรัฐฯ

รายละเอียดของมติที่ผ่านการอนุมัติ

มติดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง ส.ส. ไมค์ แครีย์ จากรัฐโอไฮโอ และ ส.ว. เท็ด ครูซ จากรัฐเท็กซัส ซึ่งมีเป้าหมายยกเลิกกฎของ IRS ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเดือนธันวาคม 2024 กฎดังกล่าวกำหนดให้ "นายหน้า DeFi" ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เดียวกับนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม ซึ่งรวมถึงการรวบรวมและส่งข้อมูลการทำธุรกรรมของผู้ใช้ให้กับ IRS

แครี่ระบุบน X ว่า "สภาเพิ่งผ่านร่างกฎหมายของเราเพื่อยกเลิก IRS DeFi Broker Rule และได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรค ตอนนี้เราต้องส่งร่างกฎหมายไปให้ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนาม"

ผลกระทบของกฎภาษี DeFi และเหตุผลในการยกเลิก

แครี่ให้เหตุผลว่า หากไม่ยกเลิกกฎดังกล่าว บริษัทคริปโตของสหรัฐฯ และรายได้ภาษีอาจต้องย้ายออกไปต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และภาระด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นสำหรับแพลตฟอร์ม DeFi

คณะกรรมการภาษีของสภาผู้แทนราษฎรลงมติสนับสนุนมติดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 26 ต่อ 16 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่วุฒิสภาลงมติด้วยคะแนนเสียง 70 ต่อ 28 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีบุคคลใกล้ชิดรายงานว่า มติดังกล่าวจะถูกส่งไปยังวุฒิสภาอีกครั้งก่อนส่งให้ทรัมป์ลงนาม

ทรัมป์เตรียมลงนาม มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโต

มีการคาดการณ์ว่าทรัมป์จะลงนามในมติดังกล่าว โดยเดวิด แซกส์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Crypto AI และที่ปรึกษาฝ่ายคริปโตของทำเนียบขาว ระบุว่า ที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์วางแผนที่จะแนะนำให้เขาสนับสนุนการยกเลิกกฎนี้

"กฎดังกล่าว ซึ่งประกาศใช้ในช่วงสุดท้ายของรัฐบาลชุดก่อน จะขัดขวางนวัตกรรมของอเมริกา และสร้างข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ขณะเดียวกันยังเพิ่มภาระให้กับบริษัท DeFi ในสหรัฐฯ" ตามแถลงการณ์ของรัฐบาล

แม้ว่าพรรครีพับลิกันเป็นกลุ่มหลักที่สนับสนุนการยกเลิกกฎนี้ แต่ยังมีสมาชิกพรรคเดโมแครตบางส่วนที่ลงมติเห็นชอบ เช่น ชัค ชูเมอร์ หัวหน้ากลุ่มเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา และจอห์น เฟตเตอร์แมน วุฒิสมาชิกจากเพนซิลเวเนีย

การยกเลิกกฎภาษี DeFi นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโตในสหรัฐฯ และสะท้อนถึงแนวโน้มของรัฐบาลในการสนับสนุนนวัตกรรมด้านสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต