หลานม่า แบกไม่ไหว โบรกฯคาดกำไร MAJOR ไตรมาส 2 ลดลง 62%.

หลานม่า แบกไม่ไหว บล. เอเซีย พลัส คาดกำไรสุทธิ MAJOR งวดไตรมาส 2/67 ลดลง 62% เหลือ 201 ล้านบาท ลุ้นกระแสหนังไทยครึ่งปีหลัง จุดเปลี่ยนสำคัญของหนังฮอลิวูดเข้าฉายในปี 2568

วันที่ 11 กรกฎาคม 2567 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด รายงานบทวิเคราะห์ ของบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)

หรือ MAJOR ว่า ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2567 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 201 ล้านบาท ชะลอตัวลง 62% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ที่มีกำไรสุทธิ 532 ล้านบาท กำไรที่ปรับลงเกิดจากงวดไตรมาส 2/2566 ทาง MAJOR มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC จำนวน 346 ล้านบาท
ขณะที่ไตรมาสนี้มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการประเมินด้อยค่าพื้นที่เช่าสาขาสุขุมวิท รวมถึงการปิดโรงภาพยนตร์ 4DX อีก 3 สาขา รวม 75 ล้านบาท แต่หากไม่นับรายการพิเศษ ผลการดำเนินงานปกติจะปรับเพิ่มขึ้น 34% YOY รายได้โรงภาพยนตร์งวดไตรมาส 2/2567 คาดไว้ที่ 1,060 ล้านบาท ลดลง 10% YOY แม้จะมีหนังไทยทำเงินอย่าง “หลานม่า” ที่กวาดรายได้ถล่มทลายทั่วประเทศกว่า 337 ล้านบาท (รายได้ผ่านโรงภาพยนตร์ของ MAJOR เท่ากับ 225 ล้านบาท )

แต่ก็ยงสู้ไตรมาส 2/2566 ที่มีภาพยนตร์ฮอลิวูดฟอร์มยักษ์หลายเรื่องอย่าง Fast and Furious X , Guardians of the Galaxy Vol3 และ Transformers Rise of the Beasts ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม รายได้โรงภาพยนตร์งวดไตรมาส 2/2567 ยังเติบโตขึ้น 24% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) ที่เป็นโลว์ซีซัน

สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ ธุรกิจป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม หรือ Concession คาดจะมีรายได้ลดลง 20% YOY มากกว่าการลดลงของรายได้โรงภาพยนตร์ โดยเป็นการลดลงทั้งยอดขาย In-Cinema และ Out-Cinema เพราะมีการลดจัดโปรโมชั่น รวมถึงมีการปรับขึ้นราคาป๊อปคอร์นในช่องทาง Delivery เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ส่วนธุรกิจโฆษณาในโรงภาพยนตร์คาดจะมีรายได้ลดลงในทิศทางเดียวกับรายได้โรงภาพยนตร์ ธุรกิจที่มีรายได้เติบโตโดดเด่นที่สุดคือ ธุรกิจโบลลิ่ง คาดรายได้เติบโต 10% YOY จากการทำการตลาดเชิงรุกในกลุ่มลูกค้า Corporate ในภาพรวมฝ่ายวิจัยคาดรายได้จากธุรกิจหลักงวดไตรมาส 2/2567 จะอยู่ที่ 2,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% QOQ แต่ลดลง 12% YOY

อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยงวดไตรมาส 2/2567 คาดไว้ที่ 33.8% เพิ่มขึ้นจากงวดไตรมาส 1/2567 ที่ทำได้ 31.15% เกิดจากอัตรากำไรธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ดีขึ้นตามรายได้ และการต่อรองส่วนลดค่าเช่าพื้นที่ได้บางส่วน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 27% QOQ อยู่ที่ 600 ล้านบาท เพราะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการประเมินด้อยค่าพื้นที่เช่าสาขาสุขุมวิท รวมถึงการปิดโรงภาพยนตร์ 4DX อีก 3 สาขา รวม 75 ล้านบาท

ในส่วนของค่าใช้จ่ายภาษี คาดว่าไตรมาสนี้ MAJOR จะมีรายได้ภาษีประมาณ 64 ล้านบาท เกิดจากการบันทึกสินทรัพย์ทางภาษี (Deferred Tax Asset ) จำนวน 82 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกี่ยวเนื่องกับการขายหุ้น ZAA (ชื่อเดิมคือ MPIC) ในช่วงไตรมาส 2/2566 หักออกจากค่าใช้จ่ายภาษีตามปกติ

ทั้งนี้กระแสความนิยมภาพยนตร์ไทยที่กลับมาตั้งแต่ปี 2566 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2567 มีภาพยนตร์ไทย 5 เรื่อง ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท ได้แก่ พี่นาค4 , หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด , หลานม่า, อนงค์ และ เทอม3 ในขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังจะมีภาพยนตร์ไทยอีก 34 เรื่อง ออกฉาย โดยมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะได้รับความนิยมสูงจากผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง มานะแมน ,หลวงพี่เท่ง Comeback และ ธี่หยด#2 ส่วนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลิวูดที่จะออกฉายที่น่าสนใจ ได้แก่ Deadpool3,Transformer ONE, VENOM และ Gladiator II เป็นต้น

จุดเปลี่ยนสำคัญของภาพยนตร์ฮอลิวูดจะเกิดขึ้นในปี 2568 จากการที่ค่ายผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ปรับแผนการออกฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เดิมจะออกฉายในปี 2567 เลื่อนมาฉายในปี 2568 แทน อาทิ Avatar3 ,Mission Impossible8 และ Captain America

ในขณะที่ Disney ได้มีการดึงตัว Bob Iger อดีต CEO ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูง ให้กลับมาดำรงตำแหน่ง CEO อีกครั้ง โดย Bob Iger จะปรับกลยุทธ์การสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์โดยเฉพาะหนัง Superhero ของ Marvel Studios ให้มีคุณภาพสูงขึ้น หลังหนัง Superhero ของ Marvel ทำรายได้ต่ำกว่าเป้าในปีที่ผ่านมา

สำหรับ MAJOR ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แม้ว่าผลประกอบการรายไตรมาสจะผันผวนไปตามความนิยมของภาพยนตร์ที่ออกฉาย แต่กลยุทธ์การเพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัด บวกกับกระแสการตอบรับที่ดีของภาพยนตร์ไทย โดยมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องสามารถทำรายได้ทะลุหลักร้อยล้านบาทได้หลังเข้าฉายเพียงไม่กี่วัน

ทำให้ MAJOR ไม่ต้องพึ่งพิงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลิวูดเหมือนในอดีต นอกจากนี้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศจำนวนมากที่มีแผนออกฉายในปี 2568 จะส่งผลบวกโดยตรงต่อ MAJOR ในฐานะผู้นำตลาดโรงภาพยนตร์ของไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 70%

สำหรับปี 2567 ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิ 894 ล้านบาท ลดลง 14% YOY เนื่องจากปี 2566 MAJOR มีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น MPIC จำนวน 346 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปี 2567 จะเติบโต 22% YOY

 

คลิก

-------------------------------------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4yo

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"