รอยเตอร์สและเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า "จีน"และ "เวียดนาม" ซึ่งเป็นสองประเทศ ที่เศรษฐกิจพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมการผลิตอย่างหนัก กำลังอยู่ระหว่างการเร่งเจรจา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งอาจได้เห็นความร่วมมือ
ในหลายด้านตามมาโดยเฉพาะ การเชื่อมสัมพันธ์ผ่าน "เส้นทางรถไฟ 2 ประเทศ"
รายงานระบุว่า หวัง เหวินเทา รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีนได้เดินทางเยือนเวียดนามเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว โดยมีการเข้าพบนายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ที่เมืองโฮจิมินห์ซิตี้ และมีการหารือ เรื่อง "การเชื่อมต่อโครงข่าย" (Interconnection) ระหว่างกัน โดยที่ นายกฯ เวียดนามมีท่าทีสนับสนุนการพัฒนา ปรับปรุงเส้นทางรถไฟเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มเส้นทางขนส่งแร่หายากและ เพิ่มการเข้าถึงเมืองท่าสำคัญทางตอนเหนือของประเทศให้มากขึ้น
การหารือดังกล่าวคาดว่าจะเป็น ส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อม ไปสู่การพบกันในระดับผู้นำรัฐ ซึ่งมีรายงานว่าประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" ของจีน จะเดินทางเยือนเวียดนามช่วง กลางเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งอาจเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของเวียดนาม ในบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ต่อระบบห่วงโซ่อุปทานโลก เมื่อผู้นำ 2 ประเทศมหาอำนาจโลกทั้ง "สหรัฐ" และ "จีน" ต่างก็พร้อมใจกันเดินทางเยือนเวียดนามในเวลาห่างกันไม่ถึง 3 เดือน
นอกจากการเดินทางนำร่องโดย รมว.พาณิชย์ของจีน เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ ของจีนก็ได้เดินทางเยือนเวียดนามและ มีการพบกับรองนายกรัฐมนตรี เจิ่นลิวกวาง ที่กรุงฮานอย ซึ่งตอกย้ำถึงความเป็นไปได้ ในการเตรียมพร้อมสู่การเดินทางเยือนของประธานาธิบดีจีนมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนและเวียดนามนั้น แนบแน่นกันมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเกิดรอยร้าวเรื่องข้อพิพาททางดินแดนในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนมีข้อพิพาทกับหลายประเทศในเอเชียตะวันออกและอาเซียนรวมถึงเวียดนาม
ทั้งนี้ จีนและเวียดนามมีเส้นทางรถไฟเชื่อมกันระหว่างคุนหมิง-ไฮเฟือง ระยะทาง 855 กิโลเมตร ที่สร้างขึ้นโดยฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1904-1910 แต่เป็น เส้นทางเก่าแก่ที่ขาดการบูรณะปรับปรุงโดยเฉพาะในฝั่งของเวียดนาม จึงทำให้มีศักยภาพในการเดินทางและขนส่ง อย่างจำกัด โดยรถไฟของทั้งสองประเทศเป็นระบบที่แตกต่างและไม่สามารถเชื่อมต่อกัน ซึ่งรถไฟแต่ละสายต้องหยุดที่บริเวณชายแดน เพื่อเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและสินค้าไปสู่การคมนาคมอื่นๆ ในประเทศต่อไป
การพัฒนาอัพเกรดระบบทางรถไฟ ครั้งนี้อาจช่วยให้มีการเข้าถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของเวียดนามได้มากขึ้น ซึ่งเป็นแหล่งแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ในขณะที่จีน ก็เป็นผู้พัฒนาเหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
รอยเตอร์สระบุว่า เวียดนามพยายาม ที่จะสร้างและพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากของตัวเองขึ้นมา และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีการหารือร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของจีนและเวียดนาม เพื่อเพิ่มความร่วมมือกันในกระบวนการสกัดแร่อีกด้วย
"ท่านนายกรัฐมนตรีต้องการปรับปรุงเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของเวียดนาม พวกเขา ต้องการให้มีทางรถไฟเชื่อมทั้งในและนอกเวียดนาม โดยอาจเริ่มต้นในระยะสั้นๆ ก่อน" เหวียน ถั่น จึ๊ง ผู้อำนวยการสถาบันไซ่ง่อน เพื่อการศึกษาด้านการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ใน โฮจิมินห์ซิตี้ กล่าวกับเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจีนจะให้ความร่วมมือในการช่วยพัฒนาทางรถไฟในเวียดนามอย่างไร และเวียดนามจะยอมรับความร่วมมือที่อาจต้องใช้เงินกู้ก้อนใหญ่จากปักกิ่งด้วยหรือไม่
ขณะที่แหล่งข่าวนักการทูตรายหนึ่ง ระบุด้วยว่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความร่วมมือ ครั้งนี้จะถูกกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของ ยุทธศาตร์ความริเริ่มแถบและเส้นทาง (BRI) ของจีนด้วยหรือไม่ ขณะที่โดยปกติแล้ว การลงทุนหรือร่วมลงทุนของจีนในการพัฒนา เครือข่ายเส้นทางที่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญมักถูกรวมอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ BRI
การเชื่อมสัมพันธ์ผ่านเส้นทางรถไฟยังอาจช่วยเพิ่มการค้าของเวียดนามไปยังจีน โดยเฉพาะการส่งออกในกลุ่มสินค้าเกษตร หลังจากที่หวัง เหวินเทา ส่งสัญญาณระหว่าง เยือนเวียดนามก่อนหน้านี้ว่าจีนพร้อมจะเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรจากเวียดนามมากขึ้น นอกจากนี้ ทางรถไฟยังอาจหนุนการเดินทางจากจีนมายังตอนเหนือของเวียดนามเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การ เพิ่มความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม การผลิตในเวียดนามมากขึ้นด้วย
ปัจจุบัน แม้ว่าเวียดนามจะดึงดูดการลงทุน จากต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐ ทว่าจีนและฮ่องกง ก็ยังคงเป็นนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ในปี 2566 โดยมีการลงทุนในสัดส่วน ประมาณ 8.29% ตามมาด้วยสิงคโปร์ ในอันดับสอง 5.14% เกาหลีใต้ 4.17% และญี่ปุ่น 3.1% ขณะที่การลงทุนจากสหรัฐคิดเป็นสัดส่วน 0.71% นอกจากนี้ จีนยังเป็นประเทศ คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดกับเวียดนามอีกด้วย
'สี จิ้นผิง'จ่อเยือน'เวียดนาม'ฟื้นสัมพันธ์รอบ 6 ปี
บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าว ที่เกี่ยวข้องว่า เจ้าหน้าที่ทางการจีนและเวียดนามกำลังเร่งเตรียมความพร้อมรับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ที่จะ เดินทางเยือนเวียดนามในเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งจะเป็นการเดินทางเยือนครั้งแรกในรอบ 6 ปี เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง สองประเทศให้แน่นแฟ้นขึ้น
แหล่งข่าวระบุว่าประธานาธิบดีสี จะเดินทางเยือนกรุงฮานอย อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 14-16 ธ.ค. นี้แต่กำหนดการดังกล่าวอาจมีกาเปลี่ยนแปลงวัน หรือรายละเอียดได้ในภายหลัง
'หวัง อี้' รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้เดินทางไปก่อนเมื่อวันที่ 1-2 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการระดับสูงเพื่อความร่วมมือทวิภาคี จีน-เวียดนาม ที่กรุงฮานอย ในการหารือเตรียมประเด็นและความพร้อมต่างๆ เพื่อให้การเยือนของสีเป็นไปอย่างราบรื่น ที่สุด โดยมีขึ้นหลังจากที่ หวัง เหวินเทา รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีนเพิ่งเดินทางเยือน เวียดนามเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อเจรจาประเด็น เศรษฐกิจการค้า และมีการประกาศเปิดตลาด ให้สินค้าเกษตรจากเวียดนามมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้นำปักกิ่งเคยเดินทางเยือนเวียดนามครั้งล่าสุดเมื่อปี 2017 โดยเป็นการ เข้าร่วมการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่ เมืองดานัง และนอกจากนี่จะเป็นการเยือน ครั้งแรกในรอบ 6 ปีแล้ว เวียดนาม ก็ยังเป็นเพียงประเทศที่ 4 ที่สีเดินทาง ไปเยือนด้วยตนเองในปีนี้ นอกเหนือจากสหรัฐ รัสเซีย และแอฟริกาใต้
สื่อต่างประเทศต่างจับตาสัญญาณของทริปนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความพยายามรักษาสมดุลของเวียดนาม หลังจากที่เพิ่งเปิดบ้านต้อนรับการเดินทาง เยือนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ ไปเมื่อ 3 เดือนก่อน โดยในครั้งนั้น มีการประกาศยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐ เป็น "หุ้นส่วนยุทธศาตร์รอบด้าน" ซึ่งเป็นความร่วมมือในระดับเดียวกับที่สหรัฐ มีต่อจีนและอินเดีย และสหรัฐยังประกาศจะช่วยเวียดนามพัฒนาอุตสาหกรรม ชิปคอมพิวเตอร์อีกด้วย
วีโอเอนิวส์เคยรายงานถึงเรื่องนี้ โดยอ้างนักวิชาการหลายฝ่ายว่า การเดินทาง เยือนของสีจะเป็นบททดสอบนโยบาย "ไผ่ลู่ลม" ของเวียดนาม ที่เปิดบ้านต้อนรับ ผู้นำ 2 ประเทศมหาอำนาจในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ถึง 3 เดือน
ปักกิ่งนั้นไม่สบายใจที่เห็นเวียดนามยกระดับความสัมพันธ์และใกล้ชิดกับสหรัฐมากขึ้น โดยมองเห็นความจำเป็นและพยายามรักษาสมดุลอิทธิพลกับเวียดนามเอาไว้ รวมถึงพยายามยืนยันสถานะและอิทธิพลของตนอีกครั้งภายหลัง การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับฮานอย
แหล่งข่าวระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่สี อาจเสนอการยกระดับความสัมพันธ์กับเวียดนามไปสู่ "ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน" (Community of Common Destiny) ซึ่งเป็นแนวคิดที่สีเคยเสนอเมื่อ ปลายปี 2012 และหากเวียดนามตอบรับก็จะ ถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศขึ้นไปอีกขั้น
การเยือนของสี จิ้นผิง อาจเป็นการยืนยันความสำคัญของเวียดนาม ในบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ต่อระบบห่วงโซ่อุปทานโลก เมื่อผู้นำ 2 ประเทศมหาอำนาจ ต่างก็พร้อมใจกันเดินทางเยือนเวียดนามในเวลาห่างกันไม่ถึง 3 เดือน
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เพิ่มเติม
- China, Vietnam weigh rail link through rare earths heartland :
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you