เทียบฟอร์มตลาดหุ้นเอเชีย ประเทศไหนฟันโฟลว์ไหลเข้า-ออกมากที่สุด พบ “ไทย” ต่างชาติเทขายหุ้นมากที่สุด 3,335 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังการเมืองยังไม่ชัดเจน มองครึ่งปีหลัง หากการเมืองสดใส มีเสถียรภาพ ดึงดูดเงินทุนต่างชาติกลับเข้ามา
Fund Flow หรือ เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย ขณะที่ปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางของ Fund Flow มีหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ค่าเงิน ดุลบัญชีเดินสะพัด นโยบายการเงิน กำไรบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยชั่วคราว หรือปัจจัยระยะสั้น ที่ส่งผลต่อทิศทางของ Fund Flow เช่นกัน อาทิ การเมือง น้ำท่วม ภัยพิบัติ โรคระบาด เป็นต้น
โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีการเลือกตั้ง ทำให้มีปัจจัยการเมืองเข้ามาส่งผลต่อ Fund Flow ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค.-27 ก.ค.2566) พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 3,335 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 115,149.69 ล้านบาท โดยในเดือน พ.ค.2566 ที่มีการเลือกตั้ง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 967 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 33,275.82 ล้านบาท
ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์” จะพามาดูตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียว่า Fund Flow แต่ละประเทศในช่วง 1 ม.ค.-27 ก.ค.2566 เป็นอย่างไรกันบ้าง โดยรวบรวมมา 9 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Bloomberg พบว่า มี 4 ตลาดหุ้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ ได้แก่ อันดับ 1 ตลาดหุ้นไทย 3,335 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ตลาดหุ้นมาเลเซีย 944 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 3 ฟิลิปปินส์ 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับ 4 เวียดนาม 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนอีก 5 ตลาดหุ้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ ได้แก่ อันดับ 1 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 46,885 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ตลาดหุ้นอินเดีย 12,395 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 3 ตลาดหุ้นไต้หวัน 8,849 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 4 ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 8,136 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดัน 5 ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 1,132 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หลักๆ ขึ้นอยู่กับนโยบายการเงินของสหรัฐ โดยในช่วงครึ่งปีหลัง หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย และส่งสัญญาณว่าถึงจุดสูงสุดแล้ว จะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย ทำให้ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่จะ Outperform ในไตรมาส 4/2566 เนื่องจากในเอเชียได้ผลกระทบจาก Interest shock น้อยกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนา
โดย บล. ทรีนีตี้ คาดว่า Fed Fund Rate อาจจะถึงจุดสุงสุดในไตรมาส 3/2566 และหยุดการขึ้นดอกเบี้ย จากนั้นมีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 1/2567 ขณะเดียวกัน มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในอัตรา 0.25% ช่วงต้นเดือน ส.ค.2566
นอกจากนี้ คาดว่าดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่า ประกอบกับหากการเมืองคลี่คลาย มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และมีนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย และ Outperform ตลาดหุ้นโลกได้
หลังจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสะท้อนความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายที่มีผลต่อตลาดทุน ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 100,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในเดือน พ.ค.2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 33,275.82 ล้านบาท ทำให้ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรก Underperform เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก เคนย่า และโคลัมเบีย
อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมาและมีสัดส่วนมากกว่า 10% ของจีดีพี รวมถึงการส่งออกไทยฟื้นตัวไตรมาส 4 โดยปกติการส่งออกของไทยจะอยู่ในช่วงเฉลี่ยเดือนละ 21,000-23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ฐานต่ำในไตรมาส 4/2565 ที่ระดับ 21,933 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจทำให้เห็นการเติบโตของการส่งออกในไตรมาส 4/2566
อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 2566 เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังคงขายสุทธิ แต่คาดว่าจะขายสุทธิลดลงเหลือประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาท จากในช่วงครึ่งปีแรก ที่มีขายสุทธิกว่า 100,000 ล้านบาท
“ปีที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 220,000 ล้านบาท ทำให้ต่างชาติ Overweight เมืองไทยเยอะเกินไป ทำให้มองว่านักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิประมาณ 70,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 100,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก แต่ทั้งปี 2566 คาดว่าจะขายสุทธิลดลงเหลือ 70,000-80,000 ล้านบาท”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากความกังวลเรื่องเสถียรภาพและการเปลี่ยนผ่านนโยบายต่างๆ ทั้งจาก 1) นโยบายการเงินที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยฯจาก 1.25% ช่วงต้นปีมาที่ 2% ในปัจจุบัน
2) ความไม่แน่นอนทางการเมืองต่อการจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง และ 3) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกรณี STARK ส่งผลต่อ Fund Flow ต่างชาติไหลออกในครึ่งปีแรกกว่า 107,000 ล้านบาท กดดันตลาดหุ้นไทยปรับลง 9.9% Underperform สวนทางตลาดหุ้นโลกที่ปรับขึ้น 12.8%
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังที่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่เริ่มส่งผลมายังภาคเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรป เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว อีกทั้งยังส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้ลงมาอยู่ในระดับเป้าหมาย 2% ทำให้ความเสี่ยง Recession ของสหรัฐ และยุโรปไม่หมดไป สวนทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตจากภาคบริโภคในประเทศและท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองที่ดูผ่อนคลายขึ้นตามลำดับ หลังการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองสภาผู้แทนราษฎร ผ่านไปด้วยดี สร้าง Sentiment เชิงบวก โดยยังเหลือวาระเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่13 ก.ค.นี้ หากผ่านพ้นไปด้วยดี จะเป็นขั้นตอนของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2566 ฝ่ายวิจัยฯ คาดอยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น EPS ปี 2566 ที่ระดับ 91.8 บาท/หุ้น เติบโต 12.6% จากปีก่อน ซึ่งในเชิง Valuation จะได้ค่า Market Earning Gap ที่ 4.11% ใกล้ค่าเฉลี่ยในรอบ 12 ปี จึงทำให้ทิศทาง Fund Flow มีโอกาสไหลกลับมาได้
Source :Posttoday
Cr.Bank’s Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านารเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you