คลัง ปลุกเชื่อมั่นตลาดทุน ปรับเกณฑ์ TESG ฟื้นวายุภักษ์ อัดยาแรง 14 มาตรการกำกับ

“พิชัย” รมว.คลัง คาด GDP ไทยสิ้นปีนี้ โต 2.4-2.5% นักท่องเที่ยวแตะ 35 ล้านคน ด้าน “ภากร” ผู้จัดการตลาดหุ้น ชี้ “พลังงาน-การเงิน” กำไรยังไม่ฟื้น ตัวฉุด “ตลาดหุ้น-เศรษฐกิจ” ฟาก “พรอนงค์” เลขา ก.ล.ต. ปลุกเชื่อมั่นผ่านกองทุนภาษี เคาะปรับเกณฑ์ใหม่กองทุน TESG

ขยายวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 3 แสนบาท ลดเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เพิ่มจำนวนหุ้น ESG เตรียมชง ครม.ใน 2 สัปดาห์ ขุนคลังแย้มฟื้นกองทุนวายุภักษ์ พยุงหุ้น ได้ข้อสรุปไตรมาส 3/67 พร้อมอัดยาแรงบังคับใช้ 14 มาตรการยกระดับกำกับตลาดหุ้น ยืนยันไม่ยกเลิก ‘ชอร์ตเซล’ แต่บังใช้กฎหมายเข้มงวดขึ้น
วันที่ 25 มิถุนายน 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าประสิทธิภาพ (Performance) ของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่สามารถที่จะตอบสนองให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) วิ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,800 จุด ตามที่คาดหวังไว้ได้ เนื่องจากประเทศอยู่ในช่วงที่พึ่งผ่านพ้นสถานการณ์กดดันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบโควิด-19 เรื่องการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ที่เห็นเหตุการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงนาน และเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งมีผลอย่างมากต่อธุรกิจเอสเอ็มอีและรายย่อย และส่งผลกระทบมาถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่
โดยหากดูจากภาวะเศรษฐกิจไทยย้อนหลังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2562-2566) ถัวเฉลี่ยแล้วเติบโตเพียงแค่ 0.4% ฟังแล้วน่าตกใจ แต่ถ้าย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นอีกประมาณ 5 ปี (ช่วงก่อนโควิด) ภาวะเศรษฐกิจไทยถัวเฉลี่ยจะเติบโตได้กว่า 3% ดังนั้นภาพเศรษฐกิจไทยโดยพื้นฐานไม่ควรเติบโตต่ำกว่าระดับ 3.5%
GDP สิ้นปีนี้โต 2.4-2.5% นทท. 35 ล้านคน
สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับ 1.9% และไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโต 1.5% ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้มีเหตุผลรองรับจากงบประมาณภาครัฐล่าช้า ซึ่งจริง ๆ งบประมาณลงทุนภาครัฐมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าจำนวนจะไม่มากเมื่อเทียบกับการลงทุนภาคเอกชน แต่เป็นการลงทุนทั่วทุกจังหวัดและถึงมือธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามงบประมาณปี 2567 หลังอนุมัติไปเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 2567 สามารถที่จะผลักดันให้กลับไปใช้งบลงทุนทั้งหมดได้ทันภายในเดือน ก.ย. 2567
ขณะที่ภาคท่องเที่ยวจนถึงวันที่ 16 มิ.ย. 2567 มีตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้วจำนวน 16 ล้านคน โดยคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง และปิดสิ้นปีนี้น่าจะแตะระดับ 35 ล้านคน ใกล้เคียงช่วงก่อนโควิดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 39 ล้านคน โดยถ้าภาครัฐเพิ่มมาตรการเข้าไปกระตุ้นภาคท่องเที่ยว การเข้ามาของจำนวนนักท่องเที่ยวทุก ๆ 1 ล้านคน จะมีความหมายอย่างมากต่อภาวะเศรษฐกิจ
Advertisment
“วันนี้การท่องเที่ยวฟื้นตัวดีมาก ในอดีตจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหนีอากาศหนาวมาพักที่ไทย แต่เดี่ยวนี้มีนักท่องเที่ยวจากซีกตะวันออกกลางที่หนีร้อนมาพักที่ไทยเยอะขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นภาคท่องเที่ยวเป็นตัวผลักดันได้ดีต่อเนื่อง”
ถัดมาอีกตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ภาคส่งออกที่มีผลต่อการบริโภค (Comsumption) ค่อนข้างสูง ซึ่งติดลบมาตลอดในปีที่แล้ว แต่ปีนี้เริ่มกลับมาเป็นบวกต่อเนื่อง เห็นสัญญาณที่ดีโดยเฉพาะพืชผลเกษตร แม้ปีนี้อากาศแล้งกดดันปริมาณยอดส่งออก แต่ได้ผลดีในแง่ของราคา ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะค่าเงินบาทส่วนนึงด้วย
“ดังนั้นจึงประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตระหว่าง 2.4-2.5% และอาจจะเร่งการเติบโตขึ้นไปใกล้ ๆ ระดับ 3% หรือที่ระดับ 3% ได้ และปีหน้าคาดตัวเลขเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้กว่า 3% ซึ่งเป็นการเติบโตตามปกติ (Base Case) โดยยังไม่ใส่ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเข้าไป” รมว.คลัง กล่าว
ลุยเพิ่ม GDP ภาค “เกษตร-ยานยนต์-อิเล็กฯ”
และมองไปข้างหน้าเล็งเห็นว่าควรจะต้องแก้ปัญหาในส่วนของภาคเกษตร เพราะปีที่ดี ๆ เคยมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 11% แต่หลังจากนั้นต่ำลงตลอด ทั้งที่ประเทศไทยมีพื้นที่กว่า 360 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด หรือกว่า 100 ล้านไร่ ดังนั้นหากสามารถปรับปรุงคุณภาพดิน ปรับปรุงพืชผลเกษตรให้มีคุณภาพสูง หรือปรับปรุงปัญหาเรื่องน้ำไม่ให้แล้งหรือท่วมได้ ขณะเดียวกันด้วยความทีไทยเป็นประเทศที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม นี่คือโอกาสของไบโอเทค ดังนั้นหากทำได้สำเร็จเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีสาระสำคัญ
Advertisment
นอกจากนี้ยังมีนโยบายสำคัญอีก 2 เรื่องคือ 1. ผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่างรถสันดาป วันนี้ต้องสนับสนุนเครื่องยนต์สันดาปในช่วง 2-3 ปี และถ้าจะให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้น จะต้องชวนผู้ผลิตเข้ามาลงทุน แต่หากเข้ามาในขณะที่ economy of scale ยังไม่ถึง แน่นอนจะต้องไม่เก็บภาษีหรือแม้กระทั่งจะต้องช่วยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามกับการเก็บภาษีรถยนต์ แต่สักพักนึงคงหายไปได้ วันนี้ต้นทุนการผลิตถูกลงมาก โดยเฉพาะต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ถูกลงกว่าครึ่ง นั่นแปลว่าโอกาสที่จะช่วยคงจะไม่นาน
และ 2. ผลักดันอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเซ็กเตอร์นี้เคยส่งออกได้มาก แต่ตอนนี้สู้ต่างชาติไม่ได้ มาเลเซียทุ่มงิน 60,000 ล้านบาท เพื่อสร้างคน แต่งบประมาณของประเทศไทยมีแค่ 5,000 ล้านบาท แต่แน่นอนงบประมาณส่วนนี้ยังเป็นแค่เรื่องของการเริ่มเปิดการเจรจา ซึ่งขณะนี้หลายรายเข้ามาแล้ว เพราะต้องการกระจายความเสี่ยง (Diversify) อยู่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเป็น Data Base พลังงานสีเขียว และต้องการคนที่มีทักษะ
“ดังนั้นนโยบายเหล่านี้จะเกิดได้แน่ แต่ยังค่อนข้างใช้เวลา ซึ่งนั่นก็แปลว่าแนวโน้มมีความหวังว่าประเทศไทยจะมีโอกาสเห็นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) ที่โตระดับ 5% ได้“ รมว.คลัง กล่าว
กำไร “พลังงาน-การเงิน” ฉุดตลาดหุ้น-เศรษฐกิจ
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในปีนี้เริ่มเห็นกำไรต่อหุ้น (EPS) กระดกหัวขึ้นแล้ว แต่ดัชนี SET ยังปรับตัวลดลงตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่บางเซ็กเตอร์ยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและการเงิน ซึ่งเป็นเซ็กเตอร์ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจ
ในขณะที่เซ็กเตอร์ที่เกี่ยวกับการบริโภคภาคเอกชน, ไอที, ส่งออก, เฮลท์แคร์ และท่องเที่ยว เริ่มมีการฟื้นตัวได้แล้ว โดยกำไรสุทธิของ บจ. งวดไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 264,805 ล้านบาท เติบโต 1.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) แต่ บจ.ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว มีกำไรสุทธิ 71,548 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 29%
“อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ในปัจจุบันค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นอีกเหตุผลที่ตลาดหลักทรัพย์มองว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่นักลงทุนควรจะพิจารณาดูข้อมูลของ บจ. ในแต่ละเซ็กเตอร์และหุ้นรายตัวว่าตอนนี้เป็นเวลาที่สมควรจะกลับเข้ามาลงทุน” นายภากร กล่าว
ฟื้นเชื่อมั่นผ่านกองทุนภาษี
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การพยายามฟื้นความเชื่อมั่นให้นักลงทุนหันกลับมาลงทุนในตลาดทุนไทยในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันของ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1. กระทรวงการคลัง 2. สำนักงาน ก.ล.ต. และ 3. ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองคำตอบในเรื่องตลาดทุนเผชิญความท้าทาย อย่างไรก็ตามภายใต้ความท้าทายเหล่านี้ย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ
สิ่งที่ 3 หน่วยงานพยายามจะชี้ให้เห็นคือ การออมของภาคประชาชนเพื่อนำไปสู่ชีวิตทางการเงินที่ดี (Financial Well-being) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญของตลาดทุนไทย นอกเหนือจากนั้นอยากเห็นการเข้าถึงตลาดทุนได้ทุกคน ไม่อยากเห็นภาพที่มักพูดกันว่า “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” แต่แน่นอนประชาชนทั่วไปอาจจะยังมีข้อจำกัด ดังนั้นสิ่งที่อยากจะต้องการสนับสนุน และเคยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังในช่วงที่ผ่านมาคือ กองทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
อาทิ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งยุติไปแล้ว หรือกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ที่จะยุติในสิ้นปี 2567 และที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่องทางการออมที่ได้ผลประโยชน์ทางภาษีอย่างชัดเจนคือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมไปถึงกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG)
“การออมเงินย่อมดีกว่าไม่ออม แต่การออมเงินเป็น ถูกช่องทาง และสร้างผลตอบแทนที่เพียงพอย่อมดีกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อจูงใจให้เห็นการเปลี่ยนแปลง จากการไม่ออมมาออม จากการออมฝากเงินในธนาคาร เปลี่ยนเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งต้องลงทุนระยะยาว”.
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ผู้ซื้อกองทุน RMF ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออมเพื่อรองรับวัยเกษียณได้ ส่วนกองทุน SSF ที่ให้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท แต่รวมกับกองทุน RMF และกองทุนอื่นสูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาท พบว่ากองทุน RMF ที่ดีอยู่แล้ว แต่อาจจะด้อยเรื่องความน่าสนใจ แต่เนื่องจากคนที่มีอายุ 50 ปี ซึ่งไถ่ถอนกองทุน RMF ได้ตอนอายุ 55 ปี ในขณะที่การออมผ่านกองทุน SSF ที่ต้องถือครอง 10 ปีนับจาวันซื้อ ทำให้คนไม่เลือกใช้ SSF ไปใช้ RMF แทน สะท้อนให้เห็นว่าระยะเวลาการออมมีผลกระทบ ทำให้เกิดความได้เปรียบระหว่างกองทุนต่าง ๆ
อย่างไรก็ดีจะพบว่าคนที่ซื้อ SSF นั้นเป็นคนที่อายุน้อย มีอาชีพอิสระ แปลว่าไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และมีความผันผวนทางด้านรายได้ การไปออมระยะยาวผ่าน RMF อาจจะไม่ถูกฝาถูกตัว
ส่วนกองทุน LTF มีเงินลงทุนระยะยาวของคนในประเทศเข้ามาถ่วงสมดุลกัน (counter balance) กับเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นที่อาจเป็นนักลงทุนต่างชาติ โดยเงินลงทุนใน LTF ทุก ๆ 1 หมื่นล้านบาท ส่งผลต่อ SET Index ขึ้นประมาณ 25-27 จุด ดังนั้นสามารถทำให้ดัชนี SET มีความแข็งแรงขึ้น ซึ่งเมื่อยุติสิทธิประโยชน์ทางภาษี นักลงทุนหลายคนมีการขายและไถ่ถอน แต่เห็นพฤติกรรมการออมผ่านการไปซื้อกองทุนรวมหรือลงทุนในหลักทรัพย์
ปรับเงื่อนไขใหม่ TESG
เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวต่อว่า ส่วนกองทุน TESG ที่เปิดขายเดือน ธ.ค. 2566 เพียงแค่เดือนเดียว มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาประมาณ 6,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดีมีการหารือร่วมกันได้ข้อสรุปว่าควรปรับภายใต้เงื่อนไขใหม่คือ 1. สามารถลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท (จากเดิมได้แค่ 100,000 บาท) 2. มีระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (จากเดิมต้องถือครอง 8 ปี)
3. มีนโยบายการลงทุน ต้องลงทุนมากกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ซึ่งจากเดิม ลงทุนหุ้นใน SET/mai ที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (E) / ESG หรือเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 128 บริษัท แต่เงื่อนไขใหม่ ให้เพิ่มลงทุนในหุ้นที่มีระดับการประเมิน CG Rating ของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล (G) และรูปแบบที่ ก.ล.ต. กำหนด และหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือระดับสากล ได้อีกไม่ต่ำกว่า 200 บริษัท ส่วนการลงทุนใน ESG Bond และ Green Token ยังเหมือนเดิม
ชงครม. ใน 2 สัปดาห์ รัฐสูญรายได้ 1.3 หมื่นล้าน
นายพิชัย กล่าวว่า คาดว่าเรื่องนี้จะสามารถเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ และสามารถใช้ได้ในปีภาษี 2567 เพราะขณะนี้อธิบดีกรมสรรพากรได้ดำเนินการเรื่องนี้ไว้เสร็จหมดแล้ว โดยสามารถออกขายกองทุนได้ตั้งแต่ในช่วงเดือน ก.ค. 2567 เป็นต้นไป โดยคาดว่าในช่วงระยะเวลา 4-5 เดือนของปีนี้ ค่อนข้างมั่นใจว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาได้ประมาณ 30,000 ล้านบาท ในส่วนการประเมินรายได้ที่รัฐบาลจะสูญเสียไปประมาณ 13,000 ล้านบาท จากการจำลองใช้สิทธิลดหย่อนภาษีครบทุกระดับอายุของฐานผู้เสียภาษี
“จากการพูดคุยกับภาคเอกชน และจากการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย ต้องบอกว่าระยะเวลาถือครอง 5 ปี และวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท มีผลอย่างมากที่จะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาสู่ตราสารสีเขียว ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือตราสารหนี้ แต่หลัก ๆ จะมีผลโดยตรงกับหุ้น ดังนั้นจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแรงขึ้น จากเม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้ามาถ่วงสมดุลกันกับเม็ดเงินลงทุนระยะสั้น ซึ่งถือเป็นจังหวะดีที่จะได้ประโยชน์ช่วงที่ราคาหุ้นน่าสนใจ ขณะเดียวกันได้ประโยชน์ทางภาษี โดยสิ่งที่รัฐจะได้คือคนที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่”
ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญคือ อยากจะเห็นคนไทยมีเงินออมนอกเหนือจากการฝากเงินผ่านธนาคาร ซึ่งมีหลายรูปแบบ โดยผ่านกองทุน TESG เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้น ที่ออมเงินแล้วผลตอบแทนไม่เสียหาย เพราะ ESG เป็นธุรกิจแห่งอนาคต น่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความยั่งยืนได้ดี ส่วนจากเดิมที่จะมีการฟื้นกองทุน LTF เพื่อกระตุ้นตลาดทุนนั้น พบว่ามีจุดอ่อนอยู่ในเรื่องระยะเวลาการถือครองที่นานเกินไปและควาเสี่ยงของหุ้นที่หลากหลาย ” ขุนคลัง กล่าวเสริม
ฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ ได้ข้อสรุปไตรมาส 3/67
นายพิชัย เปิดเผยว่า นอกเหนือจากการปรับเงื่อนไขกองทุน TESG ส่วนตัวยังมีแนวคิดที่จะฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งเคยเป็นที่นิยมมากเพราะออกมาไม่พอจำหน่าย โดยกองทุนรวมวายุภักษ์ ในอดีตเป็นกองทุนเปิดจดทะเบียนใน SET แบ่งออกหน่วย ก. (สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป) และหน่วย ข. (สำหรับกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่น)
โดยผู้ลงทุนทั่วไปจะได้รับผลตอบแทนตามจริง โดยมีขั้นต่ำต่อปี/ขั้นสูงต่อปี เป็นเวลา 10 ปี และได้รับชำระคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วย ข. ตามแนวชำระคืนที่มีลักษณะเป็น Waterfall (ขั้นต่ำของผลตอบแทนการลงทุน)
“หมายความว่าผู้ลงทุนจะได้รับการประกันระดับต่ำก่อน เช่น ผลตอบแทน 3% และหากระดับสูง เช่น ผลตอบแทนที่ 7-9% ส่วนกรณีหากผลตอบแทนต่ำกว่า 3% ก็จะได้รับชำระคืนเงินลงทุนก่อนผู้ถือหน่วย ข. ตามแนวชำระคืน Waterfall อย่างไรก็ดี บลจ. ที่จะบริหารกองทุนนี้แทนภาครัฐ คงจะต้องเลือกหน่วยลงทุนที่มี Performance ที่ดีเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเรื่อง Waterfall โดยมองว่าการสร้างหน่วยลงทุนขึ้นมาใหม่จะเป็นการสร้างเงินออมให้กับประเทศด้วย” ขุนคลัง กล่าว
เบื้องต้นมีเม็ดเงินลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ หน่วย ข. อยู่จำนวน 3.5 แสนล้านบาท หากจำหน่ายกองทุนรวมวายุภักษ์ใหม่แก่ผู้ลงทุนทั่วไป คาดวงเงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท จะทำให้รวมมีเงินลงทุน 2 กองนี้ราว 5 แสนล้านบาท
“เรื่องนี้ผมพึ่งคิดได้เมื่อ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมอบหมายงานให้ไปทำการศึกษาเพิ่ม โดยกำลังพิจารณารูปแบบกองทุนว่าควรจะเป็นอย่างไร ที่จะดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น เบื้องต้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/2567 เพราะเกณฑ์ใหม่ของกองทุน TESG ให้ไปศึกษาไม่เกิน 2 เดือน ก็สามารถสรุปเงื่อนไขใหม่ได้” นายพิชัย กล่าว
เร่ง 14 มาตรการยกระดับกำกับตลาดทุน
นายภากร กล่าวอีกว่า นอกจากจะส่งเสริมเม็ดเงินที่จะเข้ามาสู่ตลาดทุนแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ยังมีการเดินหน้ามาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน เพราะมาตรการขับเคลื่อนการลงทุนจะต้องควบคู่กับการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายในปัจจุบัน ทั้งจากการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้ง ที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ผลักดันมาตรการต่าง ๆ และเร่งรัดให้เกิดการดำเนินการที่คำนึงถึงผลกระทบในหลายด้านอย่างรอบคอบ และให้มีการดำเนินการอย่างชัดเจน
โดยกลุ่ม 1 ที่เกี่ยวกับมาตรการลดความผันผวนที่ผิดปกติของราคาหุ้น ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 ประกอบด้วย 1. ทบทวนหลักทรัพย์ที่ชอร์ตเซลได้ กรณี Non-SET100 ต้องมีขนาดมาร์เก็ตแคปมากกว่า 7,500 ล้านบาท (จากเดิม 5,000 ล้านบาท) นอกจากนี้ต้องมี Turnover เฉลี่ย 12 เดือน ที่ 2% (จากเดิมไม่กำหนด) และ 2. เพิ่มให้ขายชอร์ตในทุกหลักทรัพย์ได้ที่ราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick) จากปัจจุบันให้ขายชอร์ตได้ที่ราคาเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick)
ส่วนมาตรการที่จะบังคับใช้ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ประกอบด้วย 1. การเพิ่ม Circuit Breaker รายหุ้น หรือ Dynamic Price Band โดยกำหนดกรอบการเคลื่อนไหวของราคา (ที่แคบกว่า Ceiling & Floor) เอาไว้ เพื่อไม่ให้ราคาผันผวนเร็วเกินไป และ 2. เพิ่มมาตรการให้ซื้อขายด้วย Auction สำหรับหลักทรัพย์ที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย เลเวล 2 เพื่อใช้ควบคุมการกำกับดูแลหุ้นที่มีความผันผวนหรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ
ถัดมาสำหรับกลุ่ม 2 ที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลพฤติกรรมการื้อขายที่ไม่เหมาะสม โดยจะบังคับใช้วันที่ 1 ก.ค. 2567 ประกอบด้วย 1. การเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งไม่เหมาะสมให้แก่บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกทุกราย และ 2. กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและลูกค้าที่ใช้โปรแกรมเทรดดิ้งรูปแบบการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading: HFT) และใช้ SET Colocation (ติดตั้งเครื่องเซิฟเวอร์ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเชื่อมต่อส่งคำสั่งซื้อขาย) จะถูกกำกับดูแล โดยกำหนดต้องยื่นคำขอและไฟลิ่งข้อมูล (Register) ที่เกี่ยวข้องให้สามารถเห็นข้อมูลผู้ลงทุนในระดับ Sub-Account ของ Omnibus Account ทั้งนี้จะมีข้อตกลงว่าถ้ามีพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมจะมีการระงับการซื้อขายผ่านช่องทางนี้ก็ได้
“กลุ่มนักลงทุนที่ใช้ HFT ซึ่งอาจจะมองเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการซื้อขายไม่เหมาะสม มีการส่งคำสั่งซื้อขายเข้าเร็วออกเร็ว ดังนั้นเราจะเข้าไปดูพฤติกรรรมกลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งต้องลงทะเบียนเพื่อให้รู้ตัวตนได้”
ส่วนมาตรการที่จะบังคับใช้ช่วงไตรมาส 3/2567 ประกอบด้วย 1. กำหนดเวลาขั้นต่ำของ Order ก่อนที่จะสามารถแก้ไขหรือยกเลิกคำสั่ง (Minimum Resting Time) ไว้ที่ 0.250 วินาที (250 milliseconds) เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม กรณีส่งคำสั่งซื้อและส่งคำสั่งขาย และถอนออกเร็ว ๆ และกำหนดคำสั่งที่มีการแก้ไขหรือยกเลิกก่อนเวลาดังกล่าวจะถูกปฏิเสธ (Reject) โดยระบบทันที
2. เพิ่มคุณภาพการตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ อาทิ การทำ know your process ลูกค้าตัวกลาง, ตรวจสอบการมีหุ้นก่อนส่งคำสั่ง, มีระบบ Post Trade Monitoring ธุรกรรมชอร์ตเซลและลองชอร์ต และปรับปรุงระบบรับส่งคำสั่งให้มีประสิทธิภาพ
และมาตรการที่จะบังคับใช้ช่วงไตรมาส 4/2567 ประกอบด้วย 1. จัดให้มี Central Platform ในการ Check หลักทรัพย์ก่อนขาย โดยสรุปแนวทางการจัดทำแหล่งข้อมูลกลาง สำหรับบริษัทสมาชิกและตลาดหลักทรัพย์ในการตรวจสอบ Availability ของหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนก่อนขาย
ต่อมามาตรการที่จะบังคับใช้ช่วงไตรมาส 1/2568 คือ 1. เพิ่มมาตรการให้ซื้อขายด้วย Auction สำหรับหลักทรัพย์ที่เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย เลเวล 2 เพื่อใช้ควบคุมการกำกับดูแลหุ้นที่มีความผันผวนหรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ
และช่วงต้นปี 2568 จะมีการจัดให้มี Central Order Screening เพื่อเป็นระบบกลางในการคัดกรองคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม เพื่อบริหารความเสี่ยงในการส่งคำสั่งซื้อขาย สำหรับการซื้อขายชอร์ตและการใช้โปรแกรมเทรดดิ้ง เบื้องต้นจะต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกและการพัฒนาระบบ
สุดท้ายในกลุ่ม 3 ที่เกี่ยวกับการเพิ่มความคุ้มครองนักลงทุน โดยจะบังคับใช้ช่วงไตรมาส 3/2567 คือ การเพิ่มบทระวางโทษบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกให้สูงขึ้น 3 เท่า โดยเพิ่มโทษในกรณีที่ บล.ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้งให้สูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 3 เท่า
บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด
นางพรอนงค์ กล่าวต่อว่า สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามผลของการดำเนินการและมีการทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้มั่นใจว่าพฤติกรรมการกระทำผิดในลักษณะที่เข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ เมื่อเกิดขึ้นจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และระดับความรุนแรงของความผิดจะสูงขึ้นจากมาตรการที่ขับเคลื่อนครั้งนี้ รวมทั้งการกำหนดปรับปรุงค่าปรับจากการกระทำผิดที่สูงขึ้นและการปรับแก้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม
“ก.ล.ต.เตรียมแก้กฎหมายเพื่อดูแลการขายชอร์ตตลอดสาย โดยให้ผู้ลงทุนมีหน้าที่และรับผิดชอบเมื่อฝ่าฝืนเกณฑ์ และมีกลไกการเปิดเผยข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบ รวมถึงเพิ่มการทำหน้าที่ของ Custodian ในฐานะ gatekeeper ให้ใส่วัตถุประสงค์การโอนหุ้นมาเพื่อการตรวจสอบได้เข้มงวดมากขึ้น” นางพรอนงค์ กล่าว
ไม่ยกเลิก ‘ชอร์ตเซล’ ชี้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
นายพิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการกำกับตลาดหุ้นในระดับนี้ถือได้ว่าเป็นยาแรงพอสมควร ส่วนข้อเรียกร้องให้ยกเลิกธุรกรรมชอร์ตเซลนั้น โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกชอร์ตเซล เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากล หากยกเลิกไปอาจส่งผลเสียในระยะยาวได้
พร้อมมองว่าจริง ๆ แล้วการขายชอร์ตถือเป็นเครื่องมือลงทุนของนักลงทุนระยะยาว เพราะการลงทุนในตลาดหุ้นระหว่างทางหุ้นอาจมีขาขึ้นและขาลง ซึ่งหากยกเลิกไปจะเกิดผลเสียมากกว่า รวมถึงหากยกเลิกอาจขัดกับหลักสากล ส่วนเรื่องการทำ Naked Short ในระยะยาวจะมีการแก้ไขกฎหมายให้มีความผิดถึงนักลงทุนที่กระทำผิดรับโทษปรับและดำเนินคดีทางอาญา

คลิก

Cr.Bank’s Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"