นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท กำลังเป็นประเด็นถกเถียงอย่างดุเดือด ประเด็นนี้ “นักเศรษฐศาสตร์” หลายคนเตือนไว้ว่า ในมุมการคลังแล้ว ไม่ควรทำนโยบายดังกล่าวในช่วงที่ “ดีมานด์ล้น” ซึ่งประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ตอนนี้
ดูเหมือนว่านโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งต้องใช้เงินงบประมาณราว 5.4-5.6 แสนล้านบาท กำลังเป็นประเด็นถกเถียงอย่างดุเดือดในสังคมไทย เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าคนที่เดือดร้อนจากพิษโควิดที่ฉุดเศรษฐกิจตกต่ำจนเข้าสู่วิกฤติยังมีอยู่ค่อนข้างมาก
แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า เศรษฐกิจไทยในเวลานี้อยู่ในช่วงฟื้นตัวต่อเนื่อง การบริโภคเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น สะท้อนผ่านตัวเลขการบริโภคไตรมาส 2 ของปี 2566 ที่ขยายตัวถึง 7.8% เป็นระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี สวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมที่เติบโตเพียง 1.8%
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพชัดเจนว่า “ภาคการบริโภค” ไม่น่าจะมีเหตุจำเป็นที่รัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นขนาดนั้น เพราะกำลังซื้อของคนไทยเพิ่มขึ้นกระฉูดสะท้อนถึงดีมานด์ที่เอ่อล้น ซึ่งประเด็นนี้ “นักเศรษฐศาสตร์” หลายคนเตือนไว้ว่า ในมุมการคลังแล้ว ข้อห้ามข้อแรกๆ เลยของการทำนโยบายด้านการคลัง คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ “ดีมานด์ล้น” โดยเฉพาะกับประเทศที่เป็นระบบเปิดอย่างไทย ซึ่งต้องนำเข้าสินค้ามารองรับดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้น เท่ากับว่าเงินกำลังไหลออกนอกประเทศมากขึ้นด้วย
ลองคิดดูว่า ถ้าเรากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ดีมานด์เยอะอยู่แล้ว ผลที่ตามมาก็คือ ราคาสินค้าจะยิ่งถีบตัวสูงขึ้น (เมื่อซัพพลายออกมาไม่ทันดีมานด์) ผู้ผลิตก็จะต้องเร่งการผลิตเพิ่ม ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตเองในประเทศทั้งหมด อันนี้ก็อาจจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย แต่จากสถิติในอดีต สินค้าไทยมีส่วนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเกือบครึ่ง นั่นหมายความว่า เงินที่รัฐบาลอัดฉีดออกมา เกือบครึ่งอาจเป็นการจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตสินค้าจากต่างประเทศ
ดังนั้นการจะหวังให้เงินหมุนในระบบได้ถึง 4 รอบจึงดูจะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าใครเล่นโซเชียลมีเดียแล้ว จะเห็นว่าหลายคนแชร์นโยบายนี้พร้อมกับเขียนแคปชันไว้ว่า รอซื้อไอโฟนเครื่องใหม่อยู่!
ส่วนรายละเอียดการแจกเงินและแหล่งที่มาของเงินนั้น ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนซึ่งคาดว่าภายในเดือน ต.ค. นี้ เราคงจะเห็นความชัดเจนที่มากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นแหล่งเงินที่นำมาใช้ ซึ่งปฎิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่า ยังไงก็ต้องกู้ ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมโดยตรงจากรัฐบาลเองผ่านการออกพันธบัตร (บอนด์) หรือกู้ยืมผ่านแหล่งอื่นๆ เช่น แบงก์รัฐ
โดยก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าจะไปยืมเงินแบงก์ออมสิน ทำให้ต้องขยายกรอบวินัยการเงินการคลัง วิธีนี้แม้รัฐบาลมองว่าจะไม่ถูกนับเป็นหนี้สาธารณะ แต่ก็มีต้นทุนการเงินที่แพงกว่า ที่สำคัญไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นสายตาของบริษัทจัดอันดับเครดิตเรทติ้งต่างๆ ไปได้ เพราะหลังๆ เวลาคำนวณเครดิตเรทติ้งก็มักจะรวมเอาหนี้ที่ซ่อนอยู่ในจุดต่างๆ ไว้ด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นไหนๆ รัฐบาลจะกู้อยู่แล้ว ก็ควรกู้ในแหล่งที่มีต้นทุนการเงินต่ำสุด ถูกไหม?
โดยสรุปแล้ว หลายคนเห็นตรงกันว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลถ้าเป็นไปได้รัฐบาลควร คิดใหม่ ทำใหม่ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนผลตอบกลับมายังเศรษฐกิจไทยดูจะหวังผลได้ค่อนข้างน้อย อีกทั้งกระแสคัดค้านก็แรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราหวังว่ารัฐบาลเศรษฐาจะจำบทเรียนจากนโยบายจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ดี เพราะขณะนั้นกระแสคัดค้านแรงจนทำเอารัฐบาลเซไปไม่เป็นท่าเลย!
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Cr.Bank’s Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you