ASEAN Roundup ประจำวันที่ 18-24 มิถุนายน 2566 ธนาคารกลางลาวขยายช่วงซื้อขายเงินกีบขึ้นลงไม่เกิน 7.5% รัฐบาลลาวสั่งใช้เงินกีบในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กัมพูชาเตรียมชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดนกับเวียดนาม-ลาว นักธุรกิจเวียดนาม-เกาหลีเซ็น MoU ความร่วมมือกว่าร้อยฉบับ
สภาแห่งชาติเวียดนามอนุมัติ e-visa 90 วัน มาเลเซียทบทวนพรีเมียมวีซ่าไร้คนสนใจ MAS เปิดสมุดปกข่าวเสนอมาตรฐานเงินดิจิทัล ธนาคารกลางลาวขยายช่วงซื้อขายเงินกีบขึ้นลงไม่เกิน7.5%
ธนาคารแห่ง สปป. ลาว (Bank of the Lao PDR-BOL) ได้ออกระเบียบใหม่เรื่องการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
นโยบายใหม่นี้เป็นแนวทางสำคัญในการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนท่ามกลางการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของเงินกีบและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
หนังสือเวียนที่ BOL ลงนามเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ระบุว่า อัตราการซื้อและขายเงินกีบ/ดอลลาร์สหรัฐของธนาคารพาณิชย์จะขึ้นลงได้ไม่เกิน +/- 7.50% จากอัตราอ้างอิงรายวันของธนาคารกลาง
ก่อนหน้านี้ อัตราการซื้อและขายเงินกีบ/ดอลลาร์สหรัฐของธนาคารพาณิชย์ขึ้นลงได้ +/-4.5% จากอัตราอ้างอิงของธนาคารกลาง
หนังสือเวียนซึ่งลงนามโดยผู้ว่าการธนาคารกลาง ดร.บุนเหลือ สินไซวอละวง ยังระบุว่า สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนทุกสกุลเงิน ส่วนต่างระหว่างอัตราซื้อและขายไม่ควรเกิน 2% จากก่อนหน้านี้ ส่วนต่างระหว่างอัตราซื้อและขายของกีบกับดอลลาร์สหรัฐ ยูโร บาท หยวน และสกุลเงินอื่นๆ จะต้องไม่เกิน 1%
นโยบายใหม่นี้จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถซื้อและขายเงินตราต่างประเทศได้ในอัตราที่ใกล้เคียงกับตลาดมืด ซึ่งจะช่วยลดส่วนต่างระหว่างตลาดเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นทางการและตลาดมืด หากอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดยังคงเท่าเดิม อัตราที่เสนอโดยธนาคารพาณิชย์ภายใต้นโยบายใหม่อาจใกล้เคียงกับอัตราที่เสนอโดยตลาดมืด
นโยบายใหม่ยังเป็นการส่งเสริมบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับระบบธนาคารมากขึ้น เนื่องจากธนาคารสามารถเรียกเก็บส่วนต่างการขายที่สูงขึ้นเป็น 2% เมื่อเทียบกับ 1% ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ได้แสดงความกังวลว่า หากธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการเงินตราต่างประเทศได้ อัตราในตลาดมืดจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป
นักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ กล่าวว่า ธนาคารกลางกำลังพยายามลดส่วนต่างระหว่างตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เป็นทางการและตลาดมืด และทำให้มูลค่าของเงินกีบมีเสถียรภาพ
การปรับเปลี่ยนของธนาคารกลางมีเป้าหมาย เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อผู้ประกอบธุรกิจและบรรเทาความยากลำบากทางการเงินที่ประชาชนทั่วไปประสบอยู่ในปัจจุบัน
เงินกีบที่อ่อนค่าลงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ผลักดันอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก 1 ใน 3 ของสินค้าที่ใช้ในการคำนวณราคามาจากการนำเข้า
นักวิจารณ์กล่าวว่ารัฐบาลต้องเพิ่มการผลิต เพื่อให้มีการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกมากขึ้นและลดการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นลง เนื่องจากจะทำให้ความต้องการเงินตราต่างประเทศที่จำเป็นในการซื้อสินค้านำเข้าลดลง และช่วยบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ก่อนหน้านี้ในต้นเดือนมิถุนายนธนาคารแห่ง สปป.ลาว ได้ฟื้นสายงานควบคุมเงินตราต่างประเทศ เพื่อบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศในประเทศท่ามกลางการอ่อนค่าของสกุลเงินของประเทศ
สำนักข่าวเวียงจันทน์ใหม่รายงานผ่านเพจเฟซบุ๊กว่า ธนาคารกลางได้ประกาศการจัดตั้งสายงานควบคุมเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นทางการอีกครั้งหลังจากผ่านไปกว่า 20 ปี ในยุคที่มีดร.บุนเหลือ สินไซวอละวง เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว
นางวินคำ ลุนทอน รองหัวหน้าสายงานควบคุมเงินตราต่างประเทศ กล่าวว่า สายงานนี้จัดตั้งขึ้นในปี 2544 เพื่อจัดการกระแสเงินตราต่างประเทศในลาว แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจทำให้ต้องลดความซับซ้อนของโครงสร้างของหน่วยงานบางหน่วยงานภายในธนาคารกลาง และการพัฒนาตามแผนนโยบายจึงได้ยุบสายงานนี้ในปี 2548 ไปเป็นหน่วยงานหนึ่งในสายงานนโยบายการเงิน
เพื่อเป็นการขยายบทบาทของธนาคารแห่ง สปป. ลาว ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับอำนาจจากรัฐบาลในการบริหารจัดการภาคการเงินและการบริหารเงินตราต่างประเทศในภาพรวมของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีสายงานของธนาคารแห่ง สปป. ลาว ศึกษาวิจัย จัดทำและปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารเงินตราต่างประเทศ ตลอดจนดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้จากการค้า การบริการ การลงทุน หนี้สิน
รวมไปถึงสินเชื่อการค้าระหว่างประเทศ ติดตามกระแสเงินสดเข้าออกประเทศ ให้ทันการณ์และสามารถเชื่อมโยงกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำให้การบริหารเงินตราต่างประเทศเป็นระบบที่สมบูรณ์ ส่งเสริมการใช้เงินกีบ ลดการใช้เงินตราต่างประเทศในสังคม
รัฐบาลลาวสั่งใช้เงินกีบในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ
รัฐบาลสปป.ลาวได้สั่งให้ ใช้เงินกีบในการทำธุรกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในแขวงบ่อแก้ว
พลเอกวิไล หล้าคำฟอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ได้ออกคำสั่งในระหว่างการเยือนเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว โดยแนะนำให้คณะกรรมการบริหารของเขตใช้เงินกีบเมื่อซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน หรือชำระค่าสินค้าและบริการในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ รวมไปถึงการแนวทางเตรียมการเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในเขตเศรษฐกิจพิเศษ สอดคล้องกับการแนะนำของหน่วยงานระดับสูง
นายเขื่อนเพ็ด วงจัน รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว ในฐานะประธานสำนักงานบริหารและการจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมด้วยสมาชิกคณะกรรมการบริหารและผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมรับฟังคำสั่งของพลเอกวิลัย Mr Kheuanphet Vongchanh,
พลเอกวิไลยังแนะนำให้สำนักงานเขตเศรษฐกิจพิเศษแขวงบ่อแก้วเร่งเผยแพร่และดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการจัดการเงินตราต่างประเทศภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และเปลี่ยนมาใช้เงินกีบ ในการซื้อและขายสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการทำให้เงินกีบแข็งค่า
นอกจากนี้ พลเอกวิไลยังย้ำถึงความจำเป็นในการขึ้นทะเบียนแรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีการจัดการแรงงานลาวและแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบและชัดเจน และจัดสรรงานให้กับชาวลาวมากขึ้น และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความสงบและความมั่นคง รวมทั้งแนะนำให้ฝ่ายบริหารของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ดำเนินการเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ การค้าประเวณี อาชญากรรมทางไซเบอร์ การดำเนินการทางอินเทอร์เน็ตที่ผิดกฎหมาย และการจัดการยานพาหนะ โดยรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายลาวและปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมด เพื่อความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประเทศ
ผู้จัดการพื้นที่สัมปทานของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้รับคำสั่งให้ดำเนินการพัฒนาทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และความสวยงาม
ประธานคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษในแขวงบ่อแก้ว นายบุนทอง เซงกองสี กล่าวว่า ธนาคารแห่งสปป.ลาวกำลังจัดตั้งสำนักงานประจำภูมิภาค
ด้านกลุ่มดอกงิ้วคำ ผู้ประกอบการเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้แจ้งให้ร้านค้าในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำจะต้องแสดงป้าย “รับเฉพาะเงินกีบลาว” สำหรับการชำระเงินตั้งแต่วันจันทร์(19 มิ.ย.) เพื่อใช้สกุลเงินของประเทศภายใต้กฎระเบียบของสายงานควบคุมเงินตราต่างประเทศของธนาคารกลางแห่งสปป.ลาวที่ตั้งขึ้นใหม่
ธุรกิจทั้งหมดในเขตเศรษฐกิจพิเศษต้องรับเฉพาะเงินกีบในการชำระเงิน ขณะที่หลายปีที่ผ่านมา เงินหยวนของจีนและเงินบาทเป็นสกุลเงินที่ใช้ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ
กลุ่มดอกงิ้วคำ ประกาศว่า ร้านค้าในเขตต้องติดป้ายเป็นภาษาลาวและภาษาจีนตามที่สำนักงานส่งเสริมและจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษกำหนด และสินค้าและบริการทั้งหมดภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษจะต้องชำระเป็นสกุลเงินท้องถิ่นโดยยึดอัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารแห่งสปป.ลาว
กัมพูชาเตรียมชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดนกับเวียดนาม-ลาว
ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) กำลังเตรียมลงนามข้อตกลงกับธนาคารแห่งรัฐเวียดนามและธนาคารแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อส่งเสริมการใช้สกุลเงินเรียลของกัมพูชาในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
นางเจีย สะเร็ย(Chea Serey) รองผู้ว่าการ NBC ย้ำว่า ความคิดริเริ่มนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคใช้สกุลเงินเรียลในการซื้อสินค้า/บริการในประเทศอื่นๆ ผ่าน QR Code ที่เชื่อมโยงกับบัญชีในประเทศของตัวเอง
นางเจียกล่าวว่า การส่งเสริมการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยใช้เรียลนั้น คาดว่าจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเงิน
นางเจีย ชี้ว่าความต้องการเงินเรียลทะยอยเพิ่มขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การไหลเวียนของเงินเรียลในกัมพูชามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 16.6% ซึ่งสูงถึงประมาณ 14.1 ล้านล้านเรียล (เทียบเท่ากับ 3.4 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2565 เพิ่มขึ้นจาก 356 ล้านเรียลในปี 2541 อย่างไรก็ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจกัมพูชา
นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนแล้ว จะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนกัมพูชาใช้เงินเรียล ในการซื้อสินค้า อย่างไรก็ตามChea ไม้ได้ระบุว่าข้อตกลงใหม่จะเริ่มใช้เมื่อใด
อาเซียน5 ซึ่งประกอบด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และสิงคโปร์ ได้ลงนามในข้อตกลงเมื่อปีที่แล้ว เพื่อจัดตั้งระบบการชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดนโดยใช้ QR Code ปัจจุบัน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทยเชื่อมต่อกันแล้ว และคาดว่าสิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์จะเชื่อมต่อกันภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ยังมีการจัดทำข้อตกลงทวิภาคีอีกด้วย เช่น การเชื่อมโยง QR ของไทยกับกัมพูชา กับอินโดนีเซีย กับมาเลเซีย และเวียดนาม
นักธุรกิจเวียดนาม-เกาหลีเซ็น MoU ความร่วมมือกว่าร้อยฉบับ
การเยือนเวียดนามของประธานาธิบดีเกาหลีใต้เป็นการกำหนดก้าวใหม่ในความสัมพันธ์เวียดนาม-เกาหลีใต้ โดยธุรกิจเวียดนามและเกาหลีใต้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) มากกว่า 100 ฉบับที่การประชุมทางธุรกิจ(Vietnam-South Korea business forum)ที่จัดขึ้นในกรุงฮานอยเมื่อบ่ายวันที่ 22 มิถุนายน
Vietnam-South Korea business forum จัดขึ้นระหว่างการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดียุน ซุก ยอลของเกาหลีใต้ มีผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่รัฐจากทั้งสองประเทศเข้าร่วมกว่า 500 คน
ประธานานาธิบดียุนกล่าวในการประชุมว่า เกาหลีใต้ชื่นชมความพยายามของเวียดนามในการส่งเสริมการปรับทางดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน เกาหลีใต้เองก็ขับเคลื่อนที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนใหม่ ดังนั้น ทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันในด้านนี้และคาดว่าจะได้รับผลสำเร็จ
นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยด้านมนุษย์ โดยถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศและเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถทดแทนได้ ในฐานะประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากรและมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก เวียดนามคาดว่าจะได้รับโอกาสที่สดใส ประธานาธิบดียุนกล่าว และยังแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีเวียดนาม-เกาหลีใต้ให้เป็นแบบอย่างในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “ตราบใดที่ทั้งสองประเทศทำงานร่วมกัน ผมเชื่อว่าเราจะก้าวหน้าและเอาชนะความท้าทายได้”
ด้านนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ เวียดนาม กล่าวถึงเสาหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม โดยเน้นย้ำว่าปัจจัยด้านมนุษย์เป็นศูนย์กลางและแรงผลักดันในการพัฒนา
เวียดนามไม่นำสิ่งแวดล้อม ความยุติธรรม และความมั่นคงทางสังคมมาแลกกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเวียดนามแสดงความคาดหวังว่า ธุรกิจของเวียดนามและเกาหลีใต้จะส่งเสริมการค้า การลงทุน และความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ และเห็นผลความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นสามถึงสี่เท่าเมื่อเทียบกับตัวเลขปัจจุบันเมื่อทั้งสองประเทศฉลองครบรอบ 60 ปี ของความสัมพันธ์ทางการฑูต
ก่อนการเข้าร่วมVietnam-South Korea business forum นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมกับบริษัทและสมาคมธุรกิจชั้นนำของเกาหลีใต้
นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์ ขอบคุณเกาหลีใต้ที่เป็นพันธมิตรกับเวียดนามตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา
เวียดนามกำลังอยู่ระหว่างการเร่งสร้างนวัตกรรม เศรษฐกิจหมุนเวียน การปรับเปลี่ยนทางดิจิทัล พลังงานหมุนเวียน และอื่น ๆ ในระหว่างที่เวียดนามกำลังต้องการการสนับสนุนจากมิตรประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้ หัวหน้าคณะรัฐมนตรีเวียดนามกล่าว
นอกจากนี้ ยังชื่นชมข้อเสนอแนะของบริษัทเกาหลีใต้เกี่ยวกับบรรยากาศทางธุรกิจในเวียดนาม เช่นเดียวกับการให้คำมั่นสัญญาว่าจะลงทุนในเวียดนามในสาขาใหม่ๆ
Lee Jae Yong ประธานบริษัท Samsung Electronics กล่าวว่า Samsung และบริษัทเกาหลีใต้อื่นๆ ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้เป็นพันธมิตรกับเวียดนามตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ซัมซุงได้ลงทุน 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐในเวียดนามจนถึงตอนนี้ และจะยังคงเป็นพันธมิตรกับเวียดนามต่อไป
ตัวแทนสมาคมการค้าระหว่างประเทศของเกาหลี (KITA) เสนอว่า ทั้งสองประเทศควรส่งเสริมความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานสำหรับแร่ธาตุสำคัญ โดยเสริมว่าเวียดนามมีแร่หายากสำรองจำนวนมาก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของโลก ในขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ก็มีเทคโนโลยีขั้นสูงในด้านนี้ จึงหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถสร้างความร่วมมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากแร่หายาก
นอกจากนี้ ตัวแทนของ KITA ยังเสนอให้เวียดนามปรับนโยบายด้านภาษีและธุรกิจอื่น ๆ กฎระเบียบเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยมากขึ้นสำหรับบริษัทเกาหลีใต้ที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนาม
นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์ กล่าวว่ารัฐบาลเวียดนามจะหาทางแก้ไขปัญหาและเรียกร้องให้บริษัทเกาหลีใต้ขยายธุรกิจในเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและบันเทิง
ปัจจุบัน ธุรกิจของเกาหลีใต้ประมาณ 9,000 แห่งเปิดดำเนินการใน 63 จังหวัดและเมืองต่างๆ ทั่วประเทศเวียดนาม และเกาหลีใต้ยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดและคู่ค้ารายใหญ่อันดับสามของเวียดนาม
ทั้งสองประเทศตั้งเป้าที่จะยกระดับการค้าทวิภาคีเป็น 100,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 และเพิ่มเป็น 150,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2573
สภาแห่งชาติเวียดนามอนุมัติ e-visa 90 วัน
สภาแห่งชาติเวียดนาม (NA) ซึ่งเป็นหน่วยงานนิติบัญญัติที่รับผิดชอบในการจัดทำกฎหมายได้อนุมัติการขยายอายุวีซ่า นักท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศเวียดนามจาก 1 เดือนเป็น 3 เดือน
การขยายอายุวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหนึ่งในการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการเข้า ออก การผ่านแดน และพำนักของชาวต่างชาติ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากฝ่ายนิติบัญญัติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 95.14% จากสมาชิกNA ทั้งหมด 475 คนในเช้าวันเสาร์(23 มิ.ย.)
ภายใต้การแก้ไข เวียดนามจะขยายอายุวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้แก่ชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศเป็น 90 วัน จากไม่เกิน 30 วันสำหรับการเข้าครั้งเดียวหรือเข้าหลายครั้ง
รัฐบาลจะพิจารณารายชื่อประเทศและเขตปกครองที่พลเมืองสามารถอยู่ได้นานขึ้น รวมถึงรายชื่อจุดผ่านแดนระหว่างประเทศที่ชาวต่างชาติสามารถเข้าและออกได้โดยใช้วีซ่าอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบัน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเวียดนามภายใต้กระทรวงความมั่นคงสาธารณะได้ออกวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์แบบเข้าประเทศครั้งเดียวให้กับชาวต่างชาติผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และเวียดนามได้ออกวีซ่าอิเล็กทรอนิกส์ให้กับพลเมืองจาก 80 ประเทศ
กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 สิงหาคม 2023 คาดว่าจะช่วยให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมและเรียนรู้เกี่ยวกับเวียดนามได้ง่ายขึ้น จากการชี้แจงของ Le Tan Toi ประธานคณะกรรมการสภาแห่งชาติเวียดนามสายงานป้องกันและความมั่นคงแห่งชาติ
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาจากประเทศและภูมิภาคที่มีสิทธิ์ได้รับโปรแกรมยกเว้นวีซ่าฝ่ายเดียวของเวียดนามจะสามารถเพลิดเพลินกับการพำนักระยะยาวได้สูงสุด 45 วัน ซึ่งเกินขีดจำกัดปัจจุบันที่ 15 วัน
Toi ประเมินว่าระยะเวลายกเว้นวีซ่า 45 วันนั้นอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาค และจะช่วยให้เวียดนามเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการวางแผนและเพลิดเพลินไปกับการเยี่ยมชมและใช้เวลาพักผ่อนในประเทศ
สำหรับรูปถ่ายที่ต้องใช้ในการยื่นของวีซ่าเวียดนามนั้นจะต้องเป็น จะต้องไม่เกิน 6 เดือน ขนาด 2×2 นิ้ว หรือ 40×60 มม. พื้นหลังสีเทา และต้องมีคุณภาพสูง อ่านรายละเอียดได้ที่
มาเลเซียทบทวนพรีเมียมวีซ่าไร้คนสนใจ
รัฐมนตรีมหาดไทยมาเลเซีย Saifuddin Nasution Ismail เปิดเผยว่า จะทบทวน โครงการวีซ่าพรีเมียม Premium Visaที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว โดยรัฐบาลชุดที่แล้ว เพราะไม่ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากมีผู้ยื่นขอเพียง 28 คน และอนุมัติไปแล้ว 2 คนซึ่งประกอบด้วยผู้เข้าร่วมหลัก 1 รายและผู้ติดตาม 1 ราย
“โครงการ Premium Visa นี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากจำนวน(ของผู้สมัคร)ที่ได้รับอนุมัติไม่เป็นไปตามเป้าหมาย มันไม่น่าพอใจ จำเป็นต้องมีารทบทวน” เขาบอกกับสื่อมวลชนระหว่างการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.
รัฐมนตรีกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีแผนที่จะยกเลิกโครงการนี้ และต้องดูว่าจะปรับปรุงแก้ไขได้หรือไม่ การยกเลิกจะเป็นทางเลือกสุดท้าย
ในเดือนกันยายน Hamzah Zainudin รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น บอกว่า กระทรวงมหาดไทยได้รับการยื่นขอ 20,000 รายจากตัวแทนสำหรับโครงการวีซ่าพรีเมียม และอ้างว่าเป็น “ความสำเร็จครั้งใหญ่”
และมีรายงานว่ารัฐบาลคาดว่าจะทำเงินได้ประมาณ 206 ล้านริงกิต หลังจากอนุมัติการยื่นจากหน่วยงานและบริษัท 16 แห่งให้เข้าร่วมโครงการด้วยโควต้าที่ได้รับอนุมัติ 10,300 คน
โครงการนี้มีขึ้นเพื่อดึงดูดผู้มีฐานะดีจากทุกประเทศ ยกเว้นผู้ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับมาเลเซีย ซึ่งมีรายได้นอกประเทศอย่างน้อย 40,000 ริงกิตต่อเดือน
ผู้ยื่นขอจะต้องชำระค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 200,000 ริงกิตมาเลเซีย และค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 100,000 ริงกิตมาเลเซียต่อคน และต้องมีเงินอย่างน้อย 1 ล้านริงกิตในบัญชีธนาคาร และสามารถถอนเงินได้เพียง 50% ของจำนวนเงินนั้นหลังจากหนึ่งปีเพื่อซื้อทรัพย์สินหรือจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าเล่าเรียน
ในการชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรถึงสภาผู้แทนราษฎร(Dewan Rakyat) เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม Saifuddin กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับคำของโครงการ Premium Visa เพียง 28 ราย ประกอบด้วยผู้เข้าร่วม 14 คนและผู้อยู่ในอุปการะ 14 คน มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติ
ในขณะเดียวกัน Saifuddin ยังให้ความสำคัญกับเงื่อนไขที่เข้มงวดของโครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) อีกครั้ง โดยกล่าวว่า ได้ผู้ยื่นขอที่มีคุณภาพดีขึ้นในปีที่ผ่านมา
การยื่นขอมีน้อยหลังจากเงื่อนไขเข้มงวดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดของโควิด-19 ในระดับโลกและระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ผู้ยื่นขอกว่า 800 รายได้รับการอนุมัติล่วงหน้าแล้วตั้งแต่นั้นมา และมีแนวโน้มว่าจะได้รับอนุมัติในขั้นสุดท้าย
“ทันทีที่เราอนุมัติ พวกเขาจะไปที่ธนาคาร เปิดบัญชีเงินฝากประจำ และฝากเงิน 1 ล้านริงกิตในบัญชีของพวกเขา ดังนั้นเราจะได้รับ 800 ล้านริงกิตแบบนั้น (จากผู้ยื่นขอที่ได้รับอนุมัติ)”
Saifuddinกล่าวว่า กระทรวงพบว่าก่อนปรับเงื่อนไขใหม่ มีผู้ยื่นขอ MM2H จำนวนมากมาจากประเทศอย่าง บังคลาเทศ แต่ตอนนี้ประเทศ 10 อันดับแรกที่มีผู้ยื่นขอ MM2H คือประเทศอย่าง สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
MAS เปิดสมุดปกข่าวเสนอมาตรฐานเงินดิจิทัล
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2023 Monetary Authority of Singapore (MAS) ได้เผยแพร่สมุดปกขาวที่เสนอเกณฑ์ทั่วไป สำหรับการกำหนดเงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัล เช่น สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currencies:CBDC) เงินฝากธนาคารที่เป็นโทเค็น(tokenised Bank deposits) และ Stablecoins บนเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์(Distributed Ledger Technologies:DLTs)
สมุดปกขาวนำเสนอแนวคิดของ Purpose Bound Money (PBM) การใช้งานเงินดิจิทัลที่ระบุวัตถุประสงค์ ซึ่งช่วยให้ผู้ส่งเงินดิจิทัลสามารถระบุเงื่อนไขต่างๆ เช่น ระยะเวลาที่ใช้ได้ และประเภทของร้านค้าที่สามารถใช้เงินได้ เมื่อทำการโอนเงินดิจิทัลผ่านระบบต่างๆ
สมุดปกขาวจัดทำขึ้นโดยความร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ, Banca d’Italia, ธนาคารกลางเกาหลีใต้, สถาบันการเงิน และบริษัท FinTech ซึ่งได้แก่ Amazon,DBS Bank Ltd,3 Fazz Financial Group Pte. Ltd., Grab Holdings Ltd., Onyx by J.P. Morgan, Network for Electronic Transfers (NETS), OCBC Bank, Open Government Products สังกัด Government Technology Singapore และ United Overseas Bank Limited
โดยเนื้อหาของสมุดปกขาว ครอบคลุม
1)ข้อกำหนดทางเทคนิคที่แสดงวงจรของ PBM ตั้งแต่การออกไปจนถึงการไถ่ถอน และเกณฑ์เพื่อเชื่อมต่อกับสกุลเงินดิจิทัลที่หนุนหลัง
2)ธุรกิจและรูปแบบการดำเนินงาน เพื่อเตรียมการดำเนินงานสำหรับการโอนเงินที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ เช่น การโอนเงินตามเงื่อนไขเมื่อให้บริการ หรือเงื่อนไขการใช้งานเท่านั้น
เกณฑ์ PBM จะสามารถใช้ได้กับเทคโนโลยี DLT และรูปแบบของเงินที่แตกต่างกัน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเงินดิจิทัล โดยใช้ผู้ให้บริการกระเป๋าเงิน(wallet provider)ที่เลือก ด้วยเกณฑ์ทั่วไป โครงสร้างพื้นฐานเดียวกันสามารถใช้ได้กับการใช้งานหลายกรณี ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ใช้บริการจากผู้ให้บริการกระเป๋าเงินที่แตกต่างกันสามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลให้กันและกันโดยไม่จำเป็นต้องปรับอะไรอีก
สถาบันการเงินและบริษัท FinTech กำลังเปิดตัวให้ทดลองใช้เพื่อทดสอบการใช้งาน PBM ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ:
การค้าออนไลน์: Amazon, FAZZ และ Grab กำลังร่วมมือกันในการใช้งานนำร่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกับการรับและจ่ายเงินแบบมีเงื่อนไขตามคำสั่ง (Escrow Account) สำหรับการชำระเงินค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งผู้ขายจะได้รับการชำระเงินต่อเมื่อลูกค้าได้รับสินค้าที่สั่งซื้อ จึงใสร้างความมั่นใจแก่ทั้งสองฝ่ายมากขึ้น
รางวัลที่ตั้งโปรแกรมได้: DBS, Grab, FAZZ, NETS และ UOB จะทดสอบการคืนตาม PBM และสิ่งจูงใจอื่น ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค ในขณะที่ลดเรื่องจุกจิกที่ผู้ค้าต้องเผชิญ
สมุดปกขาว PBM จัดทำขึ้นต่อยอดจากโครงการ Project Orchid ของ MAS(Project Orchid เป็นความคิดริเริ่มที่ MAS ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาความสามารถและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ในการออกเงินดอลลาร์สิงคโปร์ดิจิทัลในประเทศ) และมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้มีการศึกษามากขึ้นระหว่างธนาคารกลาง FIs และ FinTechs เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อควรพิจารณาในการออกแบบการใช้เงินดิจิทัล และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซอร์สโค้ด(source codes)ของ PBM และต้นแบบซอฟต์แวร์ที่พัฒนาภายใต้ Project Orchid ได้มีการเผยแพร่เพื่อให้สาธารณชนเข้าถึงได้
Sopnendu Mohanty ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย FinTech ของ MAS กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างผู้เล่นในอุตสาหกรรมและผู้กำหนดนโยบายได้ช่วยให้บรรลุความก้าวหน้าที่สำคัญในด้านประสิทธิภาพการชำระเงิน การได้ร้านค้า และประสบการณ์ของผู้ใช้ในการใช้เงินดิจิทัล ที่สำคัญกว่านั้นคือ ได้เพิ่มโอกาสให้เงินดิจิทัลกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของภูมิทัศน์ทางการเงินและการชำระเงินในอนาคต
Source: ThaiPublica
Cr.Bank’s Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านารเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you