ธปท. ส่งจดหมายเปิดผนึก ถึงรมว.คลัง แจงเหตุ ‘เงินเฟ้อ’ หลุดกรอบเป้าหมาย

ธปท.เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกที่ส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณีการเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 12เดือนที่ผ่านมา และประมาณการเงินเฟ้อ12เดือนข้างหน้าที่สูงกว่าขอบบนของเป้าหมายนโยบายการเงิน

ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ เผยแพร่ จดหมายเปิดผนึก ชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาและประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน ถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
โดยระบุว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีข้อตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1 – 3% เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2565
รวมถึงระบุให้ กนง. มีจดหมายเปิดผนึกหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย นั้น
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 กระทรวงพาณิชย์ได้เผยแพร่ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 6.41% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2564 -กันยายน 2565) อยู่ที่ 5.23% ซึ่งสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน
ประกอบกับ กนง. ได้ประเมินในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12เดือนข้างหน้า (ไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ถึง ไตรมาสที่ 3 ปี 2566) จะอยู่ที่ 3.9% ซึ่งสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมาย
ดังนั้น กนง. จึงขอเรียนชี้แจงถึง (1) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยสูงกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน (2) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
และ (3) การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาและประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าสูงกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่ากรอบเป้าหมายจากแรงกดดัน ด้านอุปทาน (cost-push inflation) โดยเฉพาะราคาพลังงานเป็นหลัก
ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ (demand-pull inflation) มีจำกัด ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าสูงกว่ากรอบเป้าหมายตามแรงกดดันด้านอุปทานที่ยังอยู่ในระดับสูงแม้จะทยอยลดลง ประกอบกับ
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นตามการส่งผ่านต้นทุนที่มากขึ้นส่วนหนึ่งจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ 5.23% สูงกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงินจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ ได้แก่
(1) ปัจจัยด้านอุปทานจากต่างประเทศ(global supply shocks) ที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกปรับสูงขึ้นมาก และมีผลต่อเนื่องให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้าปรับขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับฐานที่ต่ำจากมาตรการบรรเทาค่าครองขีพของภาครัฐในปี 2564 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงที่ 26.76%
และ (2) ปัจจัยด้านอุปทานในประเทศ (domestic supply shocks )ที่เกิดจากโรคระบาดใน ในสุกร ทำให้ราคาเนื้อสุกรเพิ่มขึ้นมากตามอุปทานที่ลดลง ขณะที่ราคาอาหารสดหมวดอื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาอาหารสัตว์ และปุ้ยเคมีที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.41%
และมีการส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นไปยังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานผ่านราคาอาหารสำเร็จรูปเป็นสำคัญ
โดยอัตราเงินเฟ้อไทยซึ่งเคลื่อนไหวตามแรงกดดันด้านอุปทานเป็นหลัก ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์อยู่ในระดับต่ำในช่วงที่ผ่านมา จาก
(1)กำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่เข้มแข็งตามเศรษฐกิจที่กำลังทยอยฟื้นตัว
(2) ตลาดแรงงานที่เปราะบาง และ
(3) หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้การส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ยังทำได้จำกัด
สำหรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 3.9% สูงกว่ากรอบเป้าหมายตามแรงกดดันด้านอุปทาน โดยเฉพาะราคาพลังงานที่แม้จะทยอยลดลงตามราคาในตลาดโลก แต่ยังอยู่ในระดับสูง (ภาพที่ 2) โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานจะอยู่ที่ 12.4% และหมวดอาหารสดที่ 1.7%
ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 2.9% โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ 0.46% เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นที่ 3.8%ในปี 2566 จะเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถส่งผ่านต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงในช่วงก่อนหน้าไปยังราคาสินค้าได้มากขึ้น
​ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในระดับสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และมีแนวโน้มทยอยลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายตั้งแต่
ช่วงกลางปี 2566 ตามแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานที่มีแนวโน้มลดลงจาก (1) ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดว่าจะไม่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จากอุปสงค์ที่อาจลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
และอุปทานน้ำมันโลกที่อาจเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และ (2) ราคาอาหารสดที่คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นสูง ดังเช่นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากอุปทานเนื้อสุกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและต้นทุนปุ๋ยและอาหารสัตว์มีแนวโน้มลดลง จากการคลี่คลายของปัญหาการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานโลกและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ แนวโน้มต้นทุนที่ลดลงจะช่วยลดแรงกดดันที่ผู้ประกอบการจะส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่เร่งขึ้นต่อเนื่องในระยะต่อไป
ส่วน อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางที่สะท้อนจากข้อมูลตลาดการเงิน ยังคงยืดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย แม้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะสั้นจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตามการปรับขึ้นของต้นทุนการผลิตสินค้าและราคาสินค้าบางประเภท
สะท้อนความเชื่อมั่นว่านโยบาย การเงินจะสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่สาธารณชน มองว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นต่อเนื่องจนนำไปสู่การปรับเพิ่มราคาอย่างเป็นระลอกได้ (second-round effect)
อย่างไรก็ดี กนง. จะติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไป อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์โลก ปัญหาการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานโลกและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการไปยังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสมภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มพื้นตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษมีความจำเป็นลดลง
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ กนง. จึงได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้กลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว(policy normalization) และให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
โดยการปรับอัตราดอกเบี้ย นโยบายควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อการพื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังสามารถลดความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มสูงขึ้นจากแรงกดดัน
ด้านอุปสงค์ที่อาจมากกว่าที่ประเมินไว้ ทั้งนี้ ในกรณีที่แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ กนง. พร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ กนง. เห็นว่าควรดำเนินมาตรการเฉพาะจุดและส่งเสริมการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง โดยมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อที่มีส่วนช่วยกระจายสภาพคล่องและช่วยลดภาระหนี้สำหรับกลุ่มเปราะบาง
รวมถึงการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในระยะยาว จะช่วยแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน เสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินและไม่เป็นปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ กนง. จะติดตามปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และพร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพระบบการเงิน
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

คลิก

Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านารเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"