พบสถิตินำเข้าเหล็กชนิดต่างๆ มาไทยพุ่งแรง วงการท่อเหล็กมึน เฉพาะเวียดนามประเทศเดียว ส่งมาตีตลาดแล้ว กว่าแสนตัน คาดสิ้นปีโตเท่าตัว สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมีนาคม 2561 สหรัฐอเมริกาใช้มาตรา 232 ก.ม.
การค้า Trade Expansion Act ปี 1962 ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั่วโลกรวมถึงไทยในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับล่าสุดส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศแล้ว นายกรกฎ ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กสภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ให้สัมภาษณ์ "ฐานเศรษฐกิจ"ถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวว่า ขณะนี้มีปริมาณเหล็กนำเข้าชนิดต่างๆสูงขึ้นในอัตราตั้งแต่ 12.2-1,216.1% ที่นำเข้ามาจาก7 ประเทศหลัก ประกอบด้วย เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย จีน เกาหลี ไต้หวัน และญี่ปุ่น
เหล็กลวด, ท่อ พุ่งแรง
โดยข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศ ไทยระบุว่าในช่วง 5 เดือนแรกปี 2561 รวมสถิติการนำเข้าเหล็กชนิดต่างๆจาก 7ประเทศ มายังประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูงขึ้นทุกประเทศ และทุกรายการเมื่อเปรียบเทียบกับ 5 เดือนแรกปี2560
ทั้งนี้การนำเข้าดังกล่าว ประกอบด้วย ไทยนำเข้าจากเวียดนาม ในประเภทเหล็กลวด จำนวน 37,838 ตันหรือเพิ่มขึ้นถึงอัตรา 1,216.1% และไทยนำเข้ามาจากอินเดีย 8,494 ตัน สูงขึ้น 12.2% ไทยนำเข้าเหล็กแผ่นหนา จากอินโดนีเซีย จำนวน 43,966 ตัน เพิ่มขึ้น 93.3% นำเข้าเหล็กเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน จากจีน จำนวน 257,729 ตัน เพิ่มขึ้น 72.3% นำเข้าท่อเหล็กจากเวียดนามจำนวน 112,986 ตันเพิ่มขึ้น 60.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนในช่วงเดียวกันเป็นต้น (ดูกราฟิกประกอบ)
แห่สวมสิทธิ์ไทยแหล่งกำเนิด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการสวมสิทธิ์เพิ่มขึ้น เมื่อดูจากสถิติการนำเข้าของอเมริกาจากประเทศ ไทย และการส่งออกของไทยไปอเมริกาในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ยังพบอีกว่าเมื่อปี 2558 อเมริกานำเข้าเหล็กทุกชนิดจากไทยจำนวน 106,955 ตัน และไทยส่งออกไปอเมริกาจำนวน 95,333 ตัน มีส่วนเกินอยู่ที่ 11,622 ตัน ปี2559 อเมริกานำเข้าเหล็กทุกชนิดจากไทยจำนวน 140,341 ตัน แต่ไทยส่งออกไปอเมริกาจำนวน 164,322 ตัน ลดลง 23,981 ตัน และปี2560 อเมริกานำเข้าเหล็กทุกชนิดจากไทยจำนวน 410,528 ตัน แต่ไทยส่งออกไปอเมริกาจำนวน 381,435 ตัน มีส่วนเกินอยู่ 29,092 ตัน คาดว่าปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นอีกมากขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล
เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กล่าวอีกว่า ตอนนี้พบว่าตัวเลขส่งออกจากไทยไปอเมริกาและตัวเลขอเมริกานำเข้าจากไทยมีความแตกต่าง ไม่เท่ากัน แสดงว่าเกิดการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าเหล็กมากขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งนี้ปัจจุบันมีกลุ่มทุนต่างชาติ เช่นจีนมาตั้งโรงงานในไทยเพื่อมาขอใบ C/O (Country of Origin) ซึ่งเป็นใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าในประเทศไทยแล้วนำเหล็กที่ผลิตในไทยดังกล่าวส่งออกไปพร้อมกับเหล็กนำเข้าจากจีนไปยังประเทศที่ 3 เพื่อแสดงว่าเหล็กทั้งหมดมีแหล่งกำเนิดในไทยโดยนำเหล็กนำเข้ามาสวมสิทธิ์ด้วย
"การอาศัยไทยเป็นแหล่งสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อส่งออกไปยังอเมริกา และสหภาพยุโรป จะทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในระยะยาว รวมถึงผู้ผลิตเหล็กไทยจะถูกใช้มาตรการทางการค้าไปด้วย"
อย่างไรก็ตามกรณีนี้ก่อนหน้านั้นได้เสนอให้กรมการค้าต่างประเทศขอความร่วมมือส.อ.ท.และหอการค้าหยุดปล่อยใบอนุญาต C/O ในพิกัดศุลกากร 72 และ73 และถ้าผู้ประกอบการจะขอใบอนุญาตดังกล่าวให้ไปขอที่กรมการค้าต่างประเทศเพียงแห่งเดียวเพื่อเป็นการควบคุมป้องกันการสวมสิทธิ์ชั่วคราวก่อน แต่ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณา
ด้านนายพงศ์เทพ เทพบางจาก นายกสมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เปิดเผยว่า ปริมาณเหล็กในช่วง 5เดือนแรกที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นนั้น มาจากเหตุผลหลักคือ 1.เป็นผลิตภัณฑ์เหล็กชนิดที่ภายในประเทศมีความต้องการใช้สูงขึ้น 2.ในประเทศไทยไม่มีมาตรการป้องกันทางการค้าใดๆ กับเหล็กที่มีการนำเข้ามาจำนวนมาก เช่น ท่อเหล็ก ที่ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดไต่สวน ทั้งที่รัฐใช้เวลาพิจารณานานกว่า 1 ปีมาแล้ว และเหล็กเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน หรือเหล็กจีไอ รัฐไม่ปกป้องโดยอ้างว่าไม่ทำให้ผู้ผลิตในประเทศเสียหาย ทั้งที่ในความเป็นจริงได้รับผลกระทบแล้ว โดยบางรายเลิกผลิตหันไปนำเข้าแทน บางรายปรับไลน์ผลิตใหม่ และบางรายเลิกผลิตไปเพราะแข่งขันไม่ได้
"ส่วนเรื่องที่มีการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า ส่วนหนึ่งเกิดจากที่บางประเทศต่อรองกับอเมริกา ขอเลี่ยงภาษี 25% เพื่อแลกกับการส่งออกไปอเมริกาเป็นโควตา เช่น เคยส่งไป 10,000 ตันก็ลดลงเหลือ70% แต่ยังมีปริมาณที่เหลืออีก 30% ที่ถูกผลักออกมาประเทศอื่นแทน เช่น เกาหลีมาตั้งโรงงานในไทย ผลิตเหล็ก 10,000 ตัน แต่เกาหลีจะมีส่วนที่นำเข้ามาอีก20,000 ตัน แล้วนำทั้งหมดนี้รวม 30,000 ตันส่งออก โดยระบุแหล่งกำเนิดสินค้ามาจากไทย"
นายวรพจน์ เพียรอภิธรรม นายกสมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่นกล่าวว่าผลจากมาตรา 232 ของสหรัฐอเมริกา เพิ่มความรุนแรงการแข่งขันในตลาดท่อเหล็กเข้มข้นขึ้น เนื่องจากขณะนี้เวียดนามส่งท่อเหล็กชนิดต่างๆเข้ามาตีตลาดในราคาถูกกว่าผู้ผลิตไทยราว10% หรือขายในราคาเฉลี่ย 21,000-22,000 บาทต่อตัน เทียบกับราคาท่อเหล็กไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 23,000-24,000 บาทต่อตัน และพบว่าเพียง 5 เดือนแรกการนำเข้าโตกว่า 112,000 ตัน เทียบกับการนำเข้าจากเวียด นามปีที่แล้วทั้งปีมีจำนวน 150,000 ตันคาดว่าปีนี้ทั้งปี จะมีการนำเข้ามากกว่าเท่าตัว เวลานี้ได้แต่วิงวอนให้กระทรวงพาณิชย์เร่งออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือเอดีเหล็กนำเข้าจากเวียดนามให้เร็วกว่านี้เพราะสัดส่วน 95% เป็นการนำเข้าท่อเหล็กมาจากประเทศดังกล่าว
Source: ฐานเศรษฐกิจ
Cr.Bank of Thailand Scholarship Students
บทความสนับสนุนโดย FXPro
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman