ตัน ภาสกรนที ผู้ก่อตั้งและผู้นำบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการขับเคลื่อนธุรกิจชาเขียวในประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดหลัก ด้วยสินค้าที่หลากหลายมากถึง 25 รสชาติใน 7 สายผลิตภัณฑ์ และกำลังการผลิตมหาศาล ทั้งในรูปแบบขวดและกล่อง
ทำให้ ICHI ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และการปรับตัวในตลาดไทยที่มีปัจจัยลบจากการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำตาลในปี 2566
แม้ราคาหุ้นของบริษัทเคยเผชิญกับการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากราคาสูงสุดในปี 2557 แต่ในปัจจุบันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ 15 บาท (ข้อมูลวันที่ 30 ส.ค. 67) โดยเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของบริษัทและการปรับกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับยอดขายในปี 2566 บริษัทสามารถทำสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8,085 ล้านบาท และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มียอดขายที่ 4,499 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% โดยเป้าหมายของปีนี้ที่กำหนดไว้คือยอดขาย 9,000 ล้านบาท และในปี 2568 ยอดขายจะพุ่งขึ้นถึง 10,000 ล้านบาท
ตัน ภาสกรนที ชี้แจงว่า ความสำเร็จในการเพิ่มยอดขายครึ่งปีหลังจะมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำไลน์การผลิตจาก OEM มาผลิตเอง และการเปิดตัวสินค้าใหม่เพิ่มเติมอีก 5 รายการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้บริษัทบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้
ปัจจัยด้านต้นทุนวัตถุดิบสำหรับ ICHI ในไตรมาส 3 และ 4 คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับการควบคุมต้นทุนของบริษัท นอกจากนี้ ต้นทุนการขายและบริการ รวมถึงต้นทุนการตลาด มีแนวโน้มลดลงจากครึ่งปีแรกที่ใช้ไป 204 ล้านบาท โดยตลอดทั้งปีคาดว่าจะใช้ต้นทุนการตลาดประมาณ 380 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.22% ของรายได้ เนื่องจากการแข่งขันในตลาดไม่รุนแรงเท่ากับช่วงก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม มีความกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงในช่วงต้นปี ซึ่งเกิดจากการสั่งซื้อเครื่องจักรตั้งแต่ปี 2566 ช่วงค่าเงินเยนอ่อนค่า แม้ระหว่างปีจะมีการรับรู้ขาดทุนจากค่าเงินทางบัญชีจำนวน 42 ล้านบาท แต่เครื่องจักรที่ได้รับเข้ามาในครึ่งปีหลัง 2567 จะช่วยเพิ่มยอดขายและลดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัท
เครื่องจักรใหม่นี้จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 1,700 ล้านขวดต่อปีในสิ้นปี 2567 นอกจากนี้ การดึงไลน์การผลิตจาก OEM มาผลิตเอง โดยเฉพาะในกลุ่ม UHT เพิ่มขึ้นอีก 200 ล้านกล่องต่อปี มีรายได้ในครึ่งปีแรก 2567 ประมาณ 800 ล้านบาท และส่งผลดีต่อกำไรขั้นต้น (GP)
ในครึ่งปีแรก กำไรขั้นต้นของ ICHI อยู่ที่ 26% โดยมีกำลังการผลิตเต็มถึง 77% หากต้นทุนด้านน้ำมันและน้ำตาลยังคงที่ต่อไป บริษัทไม่กังวลว่ากำไรจะลดลง อีกทั้งคาดว่ากำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากต้นทุนไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่อย่างบริษัท ฮอน ชิน (ประเทศไทย) ที่ได้เจรจาซื้อที่ดินใกล้โรงงานอยุธยา 72 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถตั้งโรงงานใหม่ได้ภายใต้การสนับสนุนของ BOI หากดำเนินการได้สำเร็จ จะมีการบันทึกรายการพิเศษมูลค่า 360 ล้านบาท หากไม่ผ่าน BOI อาจเปลี่ยนเป็นการเช่าระยะยาวแทน แต่ทางบริษัทเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ
โรงงานใหม่ที่พันธมิตรตั้งจะมีกำลังการผลิตเบื้องต้น 300 ล้านขวดต่อปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้กับ ICHI โดยเฉพาะในไลน์การผลิตที่บริษัทไม่เชี่ยวชาญ หรือมีกำลังผลิตน้อย คาดการณ์ว่ากำไรขั้นต้นจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 27% เมื่อยอดขายเกิน 10,000 ล้านบาทตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ICHI ได้เจรจากับพันธมิตรในการวางแผนเพิ่มการผลิต โดยพันธมิตรนี้จะมีสิทธิ์ในการผลิตเป็นลำดับแรก และไม่มีข้อกำหนดขั้นต่ำ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ ICHI เนื่องจากพันธมิตรมีโรงงานที่คล้ายคลึงกันแต่มีประสิทธิภาพการผลิตสูงกว่า ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ และลดความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ทำให้การร่วมมือในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่ามากกว่าเสีย
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายในตลาดภายในประเทศคือการเปิดตัวสินค้าใหม่ 5 รายการ ได้แก่ "น้ำดื่มองุ่นเคียวโฮ" ซึ่งจะออกขายสิ้นเดือนสิงหาคม, "ชามะลิ" ซึ่งแข่งขันในตลาดพรีเมียมเน้นรสชาติและกลิ่น, "ชาแอปเปิ้ล" ที่มีขายเฉพาะใน 7-11, การกลับมาของ "ตันซันซู", และชาเขียว นอกจากนี้ ICHI ยังมองหาธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมเพื่อสร้างการเติบโตแบบ S-curve โดยบริษัทให้ความสำคัญกับความมั่นใจในการลงทุน โดยจะลงทุนเมื่อมั่นใจเกิน 80% เท่านั้น เนื่องจากไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูง
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ อินโดนีเซียยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสสูงมาก ในปี 2566 ICHI มีกำไรจากตลาดนี้เข้ามา 102 ล้านบาท แม้ยอดขายในครึ่งปีแรกของปี 2567 ลดลงถึง 90% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบและการเก็บสินค้าเก่า แต่คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 โดยมีการทำแคมเปญ "แจกเงิน" มูลค่า 300 ล้านรูปี ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก แม้ว่ากำไรจากตลาดนี้ในปี 2567 จะไม่สูงมาก แต่หากมีกำไร 40 ล้านบาทก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว เนื่องจากเป้าหมายหลักคือการขยายฐานลูกค้า
สุดท้าย ตัน ภาสกรนที ยังได้กล่าวถึงผู้ถือหุ้นว่า ICHI ไม่มีภาระหนี้สิน หากผลประกอบการเติบโตดี ไม่จำเป็นต้องเก็บเงินสดไว้เป็นจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสที่จะเสนอให้บอร์ดพิจารณาปรับเพิ่มการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากปีก่อนที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 1 บาท
Cr.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4yo