เปิดข้อมูล 'ปิดโรงงาน' ปี 66 Vs 67 ครึ่งปีอัตราเลิกกิจการพุ่ง 86%

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งขยายตัวเพียง 2% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 การชะลอตัวในกำลังซื้อของจีนและการผันผวนในตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มกดดันการบริโภคในอนาคต เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกของไทยประสบปัญหา

 

นอกจากนี้ ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าอุตสาหกรรมไทยในอาเซียนยังลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าจีนที่เข้ามาในตลาดอาเซียนมากขึ้น ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยในช่วง 6 เดือนแรกหดตัวลง 1.8%

ในด้านภายในประเทศ แม้ว่าการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐเริ่มนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐให้กลับมาขยายตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2567 แต่การชะลอตัวในอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเป็นปัญหา ยอดโอนอสังหาริมทรัพย์และยอดจำหน่ายรถยนต์ที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกที่ขยายตัวได้น้อย ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพแม้ภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัว

ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมยังระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการแจ้งเลิกทะเบียนโรงงานถึง 667 แห่ง ซึ่งสูงกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม มีการประกอบกิจการใหม่และขยายโรงงานรวม 1,275 โรงงาน ซึ่งสร้างงานใหม่เพิ่ม 55,127 ตำแหน่ง และมีเงินลงทุนรวม 219,855.21 ล้านบาท

แม้จะมีการเปิดโรงงานใหม่ แต่การปิดกิจการโรงงานจำนวนมากและการชะลอตัวในหลายภาคส่วนยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่ากังวลในภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะในส่วนของโรงงานขนาดเล็กและเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้าจีน

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 แม้จะมีการเปิดโรงงานใหม่ 2,803 แห่ง แต่สัดส่วนการเติบโตของการเปิดโรงงานลดลง และการปิดโรงงานมีอัตราเร่งขึ้น โดยมีโรงงานปิดกิจการถึง 667 แห่ง หรือเฉลี่ยเดือนละ 111 แห่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โรงงานที่ปิดกิจการในปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก โดยมีมูลค่าการจดทะเบียนเฉลี่ยเพียง 27.12 ล้านบาทต่อโรงงาน ซึ่งเป็นการลดลงจากปี 2566 ที่โรงงานที่ปิดส่วนใหญ่เป็นขนาดกลางและใหญ่

การปิดกิจการของโรงงานเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานอย่างหนัก โดยตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงครึ่งแรกของปี 2567 มีคนงานที่ตกงานไปราว 5 หมื่นคน ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาที่ลึกซึ้งของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในปัจจุบัน

นายเกรียงไกรยังได้แสดงความกังวลว่าเอสเอ็มอีที่เป็นซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมอาจจะต้องปิดกิจการลงตามโรงงานขนาดใหญ่ที่ปิดตัวลง เนื่องจากกำลังซื้อลดลง หนี้ภาคครัวเรือนสูง และการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้โรงงานต้องลดเวลาทำงาน ลดการทำงานล่วงเวลา และลดการผลิต เช่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่โรงงานหลายแห่งต้องยุบรวมกันหรือลดการทำงานลง

การยุบโรงงานและการลดการผลิตเช่นนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อซัพพลายเชนของไทย ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดกิจการของโรงงานขนาดเล็กในจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย

คลิก

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

----------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b 
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4yo

"การแจ้งเตือนเรื่องความเสี่ยง: การเทรด Forex หรือ CFD และตราสารอนุพันธ์อื่นๆ นั้นผันผวนสูงและมีความเสี่ยงสูง คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวัตถุประสงค์การซื้อขาย ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ความสูญเสียจะสูงเกินกว่าเงินลงทุนของคุณ คุณควรลงทุนในระดับที่สามารถรับความสูญเสียได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและใช้ความระมัดระวังในการจัดการความเสี่ยงของคุณ"