เพราะมันมีตัวตน เพราะมันมีแหล่งที่มา เพราะมันเป็นที่ต้องการ เพราะมันจับต้องได้ เพราะมันมีมาเป็นล้านปีแล้ว! การซื้อขายแลกเปลี่ยนก็ใช้ทองคำเป็นตัวแปรตั้งแต่อดีตกาล ยามเมื่อมนุษย์มีการแลกเปลี่ยน แล้วทองคำมีมูลค่าในตัวของมันเอง
การมาของดอลล่าร์ BITCOIN มันเป็นแค่กระแสและค่านิยมในช่วงขณะนึงเท่านั้น FACT ข้อเท็จจริง ทองคำยังมีค่ามากกว่านี้ ยิ่งก่อสงคราม ยิ่งการเงิน การคลังโลกมีปัญหาเท่าไหร่ ชาวโลกจะหันมาอุ้มทองคำในมือไว้ก่อน เพราะเป็นสิ่งที่มีค่าสากลโลก แล้วปีนี้ 2018 คือทางขึ้นของทองคำที่ห้ามไม่หยุด ฉุดไม่อยู่อีกต่อไป แม้เหี้ยโลก ยิวสัดนรกจะระดมกดหัวทองคำมาโดยตลอด 5 ปีหลังนี้ แต่ก็ต้านกระแสความต้องการทองคำจากทั้งโลกไม่ได้ โดยเฉพาะจีน รัสเซีย เก็บทองคำไว้มหาศาล เพราะยามเมื่อเปโตรหยวนผงาด ผูกน้ำมัน ก็ต้องผูกกับทองคำเพื่อค่าเงินตาม มันคือสัญญานฆ่าดอลล่าร์โดยไม่ต้องสงสัย เกมส์จึงมาอยู่ที่ว่า หากกระแส BITCOIN ตกเมื่อไหร่ ทองคำจะเด้งขึ้นมาทันที แล้วจะเอาอะไรไปซื้อล่ะ ดอลล่าร์กลายเป็นกระดาษ ทองคำจับต้องได้จริง นี่คือเหตุผลว่าทำไมยิวดันเงินอากาศสุดติ่งกระดิ่งแมว เพราะมันเป็นกติกาของยิว ไม่ใช่ของสากลโลก! จีน รัสเซียอ่านขาด และอ่านเกมส์ออกว่า เหี้ยต้องดิ้นเฮือกสุดท้ายแน่ ถึงได้ท้าดวล มรึงทิ้งทองคำมาเท่าไหร่ กูช้อนซื้อเก็บอย่างเดียว เดี๋ยวพอกูเปิดทองคำในมือให้โลกเห็นแต็มตาเมื่อไหร่ ดอลล่าร์ตาย คลังขี้ข้าโลกตายห่าแน่ เพราะอุ้มดอลล่าร์กระดาษไว้ตรึม!
Paper gold trading days for London & New York numbered
• ผู้เชี่ยวชาญราคาทองคำนายวินซ์ แลนซี (Vince Lanci) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทบริหารกองทุนระดับโลก อย่าง Echo Bay Partners ได้ออกมาคาดการณ์ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวผ่านทางสำนักข่าว Russia Today เมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2018 ว่าแนวโน้มราคาทองคำใน ค.ศ. 2018 น่าจะพุ่งทะยานสูงกว่าราคาทองคำโดยเฉลี่ยของปี ค.ศ. 2017 ไม่น้อยกว่า 400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือจากที่เคยมีระดับราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงปีที่ผ่านมา ปีนี้อาจพุ่งขึ้นไปถึง 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์โดยเฉลี่ย เผลอ ๆ จะเป็นการลงทุนแบบมั่งมีมั่งคั่งทรัพย์สินเพิ่มพูน เข้าสู่ห่วงอาการสำลักความสุข
• ด้วยหลักความสัมพันธ์เชิงเหตุผลการมองอย่างองค์รวมผสานหลักดุลยภาพทำให้การคิดเชิงอนาคต หรือ Future Thinking ที่เหมาะสม ในแนวทางดังกล่าว ก็ดูจะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเนื่องมาจากการซื้อ - ขายทองคำกันบนกระดาษ หรือที่เรียก ๆ กันว่า Paper Gold ซึ่งนิยมซื้อขายกันในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ที่เป็นตัวก่อให้เกิด 'อุปสงค์ - อุปทาน' แบบเทียม ๆ หรือ Artificially Curbed และกลายเป็นตัวหน่วงรั้งราคาทองคำที่แท้จริงมาโดยตลอดมันกำลังอยู่ในภาวะ 'ใกล้หุบเหวมรณะ' เต็มที
• โดยเฉพาะถ้าเมื่อไหร่ที่บรรดานักลงทุนในด้านทองคำทั้งหลายต้องการได้ผลประโยชน์บ้าง ดีกว่าไม่ได้ผลกำไรอะไรเลย หรือต้องการถือทองคำแท้ ๆ เอาไว้ในมือ ไม่ใช่แค่กำราคาซื้อ - ขายกันในกระดาษล้วน ๆ เมื่อนั้นนั่นเอง...ที่จะส่งผลให้ 'มาตรฐานราคาทองคำ' ที่ถูกกำหนดโดยฝ่ายตะวันตก ในตลาดลอนดอนและนิวยอร์กมาโดยตลอด มีอันต้องแตกดังโพละ เป็นแรงกระแทกส่งผลกระทบให้ฟองสบู่แห่งการทำกำไรระเบิดออกมาได้ไม่ยาก
• เมื่อการขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่าง พัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน กลุ่ม BRICS จึงกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อเป็นทิศทางและเป้าหมาย ที่ไม่เพียงแต่เดินหน้าซื้อทองคำมาเก็บไว้เป็นทุนสำรองภายในประเทศตลอดช่วงไม่ต่ำกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แถมยังเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ ๆ ซะอีกด้วย
• พิธีลงนามสัตยาบันและการประกาศเจตนารมณ์ทั้ง บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่จะรวมตัวกันสร้าง 'มาตรฐานราคาทองคำ' ขึ้นมาใหม่ แยกออกจากตลาดลอนดอน นิวยอร์กแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อันไม่เพียงแต่กลายเป็นตัวท้าทายมาตรฐานราคาทองคำที่กำหนดโดยตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นตัวส่งผลให้ระบบการเงินของโลกทั้งโลกต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร พร้อมยังเร่งปฏิกิริยาทลายฐานอำนาจทุนสามานย์เผด็จการ (เงิน) ยึดโลกเป็นใหญ่อย่างชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
• การประเมินถึงราคาทองคำในปีนี้ ของผู้รู้อย่างนายวินซ์ แลนซี ก็ดูจะสอดคล้องต้องกันกับความคิด ความเห็นของผู้ชํานาญการอีกรายคือ นายโรนัน แมนลี (Ronan Manly) ที่เชี่ยวชาญด้านโลหะมีค่าจาก Singapore’s BullionStar ที่มองว่า การร่วมมือกันสะสมทองคำแท้ ๆ ของบรรดาประเทศในกลุ่ม BRICS โดยเฉพาะจีนและรัสเซียในตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ไม่ใช่เป็นแค่ 'รสนิยม' ของพวกชอบทอง ตื่นทองแบบบรรดาอภิมหาเศรษฐีเกิดใหม่ แต่ถือเป็น 'ยุทธศาสตร์ทางการเงิน' เพียงอย่างเดียว ที่จะสามารถทำให้บรรดาประเทศเหล่านี้ สามารถเอาชนะ หรือเป็นอิสระไปจากอิทธิพลของเงิน 'ดอลลาร์' ที่เป็นตัวครอบงำระบบเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าของโลกทั้งโลกนับเป็นทศวรรษ ๆ มาแล้ว
• ผู้เชี่ยวชาญอย่างนายโรนัน แมนลี ถึงกับสรุปเอาไว้ว่า 'การสะสมทองคำในฐานะทุนสำรองตลอดช่วงระยะ 10-15 ปีของทั้งจีนและรัสเซีย จนอาจมีปริมาณทองคำรวมกันไม่น้อยไปกว่า 3,670 ตัน หรือมากไปกว่านั้น โดยเฉพาะที่ไม่ได้ถูกประกาศไว้อย่างเป็นทางการ อาจนำไปสู่การนำเอาทองคำเหล่านี้มาใช้เป็นตัวหนุนหลังสกุลเงินของทั้งสองประเทศในอนาคต อันจะก่อให้เกิดผลสะเทือนต่อเงินสกุลหลักอย่างเงินดอลลาร์ที่ไม่มีอะไรหนุนหลังอยู่เลยนอกซะจากอุปสงค์ - อุปทานล้วน ๆ ชนิดอาจถึงขั้นต้องหมดบทบาท อิทธิพล ในการครอบงำตลาดการเงิน การค้า และระบบเศรษฐกิจโลก อย่างเท่าที่เคยเป็นมาโดยตลอด'
• ดังนั้นการทำให้มาตรฐานราคาทองคำไม่ได้สวิงไปสวิงมาอยู่บน 'แผ่นกระดาษ' เท่านั้น แต่เป็นราคาที่ตั้งอยู่บน 'มาตรฐานที่แท้จริง' จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ทางการเงินระดับโลกเอาเลยก็ว่าได้
• จริง ไม่จริง คงต้องคอยดู ๆ กันต่อไปว่าราคาทองคำโดยเฉลี่ยปีนี้ จะพุ่งพรวดพราดขึ้นมาถึง 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามที่อภิมหากูรูอย่าง นายวินซ์ แลนซี คาดเอาไว้จริง ๆ หรือไม่ แต่ยังอาจถือเป็นดัชนีชี้วัดถึงความถูกต้องเป็นธรรมระหว่างฝ่าย 'ธรรมะ' กับ 'อธรรม' ว่ากลุ่มไหนจะได้รับชัยชนะหรือความพ่ายแพ้กันในขั้นตอนสุดท้าย
• บรรณานุกรม :
https://www.rt.com/business/415131-gold-prices-rise-2018/
Richard Whitt /หมีcnn
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman