จากข้อมูลระบุว่าตั้งแต่ ปี 1972 หรือในระยะเวลา 50 ปี สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 86% หรือ กว่า 6 เท่า กล่าวคือขณะนั้น 1 ดอลลาร์มีมูลค่าเริ่มต้นเท่ากับ 1 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันมูลค่าที่แท้จริงของ 1 ดอลลาร์ลดลงมาเท่ากับ 0.14 ดอลลาร์ และจะลดลงมาที่ 0.13 ดอลลาร์ในปีนี้
ซึ่งตามกลไกแล้ว "มูลค่าที่แท้จริง" ของเงิน 1 ดอลลาร์จะลดลงตามกาลเวลาสอดคล้องไปกับอัตราเงินเฟ้อ หากเราซื้อสินค้าหนึ่งอย่างในราคา 1 ดอลลาร์ในปี 1972 ผ่านมา 50 ปี เราจะสินค้าชิ้นเดียวกันนี้ได้ในราคา 7 ดอลลาร์ในปี 2022 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.22 ดอลลาร์ในปีนี้ ($1 in 1972 และ $7.22 in 2023) ในส่วน CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ ในปี 1972 อยู่ที่ 41.80 และในปีนี้อยู่ที่ 301.84 พูดง่ายๆ ว่า ในจำนวนเงินเท่าเดิมเราจะซื้อสินค้าได้ปริมาตรที่น้อยลงกว่าที่เคยซื้อนั่นเอง
แล้วอัตราเงินเฟ้อเกี่ยวข้องกับมูลค่าเงินดอลลาร์ได้อย่างไร?
ตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากนั้นคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของเงินดอลลาร์ก็ปรับตัวลดลงตาม โดย Inflation Rate ในปี 2022 แตะ 8% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 1981 และมีการคาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงมา 3.14% ในปีนี้
รัฐบาลจัดการด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มต่อเนื่องเพื่อจัดการกับการขาดดุลของกำลังซื้อในระบบ แม้กลไกดังกล่าวอาจถือเป็นการด้อยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแต่หากกล่าวถึงเสถียรภาพดอลลาร์สหรัฐนั้นอาจไม่ได้ลดทอนมูลค่าอย่างรวดเร็วในคืนวัน
สกุลเงินดอลลาร์จะยังเป็นสกุลเงินหลักในกระเป๋าเงินทุนสำรองของแต่ละประเทศในโลก และปัจจุบันสกุลเงินดอลลาร์ยังกินสัดส่วนอยู่กว่า 60% รองลงมาคือ ยูโร เยน ปอนด์สเตอร์ลิง ตามลำดับ
แต่กระนั้นนโยบายการเงินการคลังที่ประกาศออกมาเพื่อจัดการกับวิกฤติอัตราเงินเฟ้อ บวกกับสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจ จีนและสหรัฐฯ ที่สร้างความตึงเครียดของการเมืองโลกหลังโควิด-19 คอนเซปต์เรื่อง “De-Dollarization” หรือการที่ค่าเงินดอลลาร์ถูกสั่นคลอนจึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา จากมุมมองดังกล่าวอาจทำให้หลายคนนึกถึงคำพูดของนายเรย์ ดาลิโอที่ว่า “การถือสกุลเงินดอลลาร์มีความเสี่ยง” ขึ้นมาเลยก็ว่าได้
ล่าสุด เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้เปิดเผยถึงยอดขาดดุลงบประมาณอยู่ท่ี 2.62 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21% จาก 2.17 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้หลายฝ่ายจับตาการรักษา Balance sheet ของสหรัฐฯ ตลอดจนความไม่สมดุลของงบประมาณซึ่งมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นกว่าในอดีต แถมยังลุ้นกันว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของไบเดนจะผิดนัดชำระหนี้ที่กำลังจะถึงกำหนดหรือไม่ด้วยเช่นกัน
Source: ไทยรัฐออนไลน์
Cr.Bank’s Scholarship Students
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านารเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you