นางแจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทั้งที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังไม่ได้ฟื้นตัวชัดเจนนัก ดอกเบี้ยถูกดึงขึ้นอีก 0.25% เป็น 1.0% พร้อมกับส่งสัญญานว่าตลอดทั้งปีนี้ เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งด้วยกัน
เฟดขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการคลังยุคประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ไม่แน่ว่าจะต้องออกแรงต่อสู้กับสภาคองเกรสกันอีกกี่รอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดลดงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้แผนปฏิรูประบบประกันสุขภาพแห่งชาติ (Obamacare) ที่พยายามจะปรับเปลี่ยนเป็น Trumpcare ก็ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งแผนลดภาษีทั้งระดับรายได้ส่วนบุคคล และนิติบุคคล ซึ่งอาจเจอแรงต้านจากสภา เพราะว่าเพดานหนี้ของรัฐบาลกลาง $20 ล้าน ถึงวันครบอายุแล้วเมื่อ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ถ้าจะขยับขึ้นเพดานหนี้ เพื่อให้รัฐบาลกลางสามารถก่อหนี้เพื่ออุดงบประมาณขาดดุล หรือเพื่อเอาหนี้ใหม่ไปจ่ายหนี้เก่า ทรัมป์จำต้องเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิก
อย่างไรก็ดี นางเยลเลนระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังไปได้ดี ด้านแรงงานก็ฟื้นตัว และที่สำคัญเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้เป้าหมาย 2% แต่สิ่งที่เยลเลนพูด ขัดแย้งกับตัวเลขค้าปลีกในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเติบโตช้ามากนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2016
นอกจากนี้ โมเดลทำนายจีดีพีของเฟดสาขาแอตแลนตาคาดไว้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวในไตรมาสแรกของปี 0.9% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ทรัมป์ตั้งไว้
เกิดคำถามขึ้นว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ มีวาระการเมืองแอบแฝงหรือไม่ เพราะทรัมป์ยังบริหารประเทศยังไม่ถึง 100 วัน รัฐบาลยังตั้งลำไม่ได้ นโยบายที่จะลงมือปฏิบัติก็ยังไม่ชัดเจน มิหนำซ้ำโดนฝ่ายตรงกันข้ามหรือขั้วอำนาจเก่าของคลินตัน/โอบามาคอยจ้องเล่นงานอีก ทำให้เกิดข้อกังขาว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเดินต่อไปได้ดีหรือไม่ รวมทั้งผลกระทบต่อนโยบายตลาดหุ้น และตลาดการเงิน จากแนวโน้มที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกันในปีนี้
thanong
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี!!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman