ในช่วงสถานการณ์ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจโลกค่อนข้างผันผวน ไม่ว่าจะเป็นโควิด 19, สงความการค้าระหว่างจีน - สหรัฐอเมริกา ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงการกีดกันรูปแบบใหม่ ๆ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนมาก
ถึงแม้โลกจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่คงอยู่ คือ เทคนิคหรือหลักการในการเลือกหุ้น เพราะต่อให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ถ้าเลือกวิธีที่ดี เราก็สามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
เมื่อสถานการณ์ตลาดเปลี่ยนแปลงไป จะมีเทคนิคในการเลือกหุ้นอย่างไรบ้าง ?
1. สถานการณ์โควิด 19
นาทีนี้คงไม่มีเหตุการณ์ไหนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเท่ากับโควิด 19 การระบาดของโรคครั้งนี้ทำให้การทำกำไรของบริษัทต่าง ๆ ลดน้อยลง แต่ก็มีบริษัทบางกลุ่มที่สามารถเติบโตได้ในสภาวะแบบนี้ อาทิ บริษัทที่มีแหล่งที่มาของรายได้หลายทาง ไม่พึ่งพาแค่นักท่องเที่ยว หรือการบริโภคภายในประเทศอย่างเดียว อย่าง CBG ที่มีการเติบโตจากกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการหยุดอยู่บ้าน คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีหุ้นแบบนี้ภายในประเทศ แต่อาจจะต้องลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศเพื่อลงทุน หรืออาจจะเป็นหุ้นประกันภัยที่มียอดซื้อประกันสุขภาพและประกันโควิด 19 อย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เช่น TQM
2. ราคาน้ำมันโลกผันผวน
อุตสาหกรรมน้ำมันมีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงที่มีความต้องการใช้สูงกว่าพลังงานชนิดอื่น และยังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางเศรษฐกิจ และการเมือง ในกรณีที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ กลุ่มน้ำมัน เช่น PTT, PTTEP, TOP เป็นต้น เพราะบริษัทจะได้ทำกำไรจากการขายน้ำมัน แต่ถ้าหากน้ำมันลงกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ กลุ่มที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนในการผลิต เช่น กลุ่มขนส่ง หรือถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจจะเป็นหุ้นสายการบินต่าง ๆ ที่มีต้นทุนแปรผัน คือ น้ำมันเป็นหลัก แต่ช่วงนี้อาจจะไม่ใช่จังหวะในการลงทุนหุ้นสายการบินสักเท่าไหร่
3. อัตราดอกเบี้ยนโยบายเปลี่ยนแปลง
การที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศมีนโยบายเพิ่มหรือลดดอกเบี้ยนั้น ก็เพื่อที่จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง หากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น หุ้นที่ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ กลุ่มธนาคาร เพราะจะได้กำไรส่วนต่าง ๆ จากอัตราดอกเบี้ย เช่น KBANK, SCB, BBL เป็นต้น
ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยมากที่สุด คือ กลุ่มลีสซิ่ง เช่น SAWAD, MTC, AEONTS รวมทั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ภาคเอกชนจะกลับมาลงทุนมากขึ้น เพราะเงินทุนที่ต้องจ่ายคืนจากการกู้ยืมจะถูกลง
4. ค่าเงินบาทอ่อนค่า - แข็งค่า
การที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าหรืออ่อน ก็ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาดเงิน หากค่าเงินบาทอ่อน หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มส่งออก เพราะเวลาส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ ได้กำไรนำมาแลกเป็นเงินบาทได้เยอะ เช่น หุ้น KCE, HANA ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ CPF. TU ส่งออกเนื้อสัตว์ อาหารแช่แข็ง เป็นต้น และถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ กลุ่มธุรกิจที่มีต้นทุนการผลิตนำเข้ามาจากต่างประเทศ หรือมีเงินกู้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ หรือจะเป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า RATCH, GPSC, GULF เพราะหุ้นกลุ่มนี้ต้องอ้างอิงราคาก๊าซและเงินบาท
5. สงครามการค้า
ความกังวลเรื่องผลกระทบจากสงครามการค้า ส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นอย่างมาก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ดังนั้นควรเลือกหุ้นที่หลีกเลี่ยงผลกระทบจากสถานการณ์นี้ คือ Defensive Stock ( หุ้นเชิงรับ ) หมายถึงหุ้นที่ทนต่อทุกสภาวะในตลาด เช่น BJC, CRC ซึ่งมาจากนโยบายการช้อปช่วยชาติจากรัฐบาล หรืออาจจะเป็นพิจารณาเป็นการถือ “เงินสด” หรือสินทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็น Safe Haven อย่างทองคำก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
สรุป : ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ทางตลาดจะเกิดขึ้นในรูปแบบใด หากนักลงทุนมีการวิเคราะห์และวางแผนการลงทุนที่ดี ก็จะช่วยให้เรามองเห็นโอกาสในการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
Cr.FXhanuman
-----------------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex4you