สิงคโปร์เป็นชาติแรกๆ ในเอเชียนอกเหนือ จากจีนที่พบผู้ติดเชื้อก่อโรคระบาด โคโรนาไวรัส สายพันธุ์ 2019 หรือโควิด-19 โดยพบ ผู้ติดเชื้อรายแรกราว 1 สัปดาห์ หลังจากที่ไทยพบนักท่องเที่ยวชาวจีนนำเชื้ออันตรายนี้เข้ามาในประเทศเมื่อ 13 มกราคม 2563
ที่น่าสนใจก็คือ 2 เดือนแรกของการระบาด สิงคโปร์ควบคุมสถานการณ์ได้ดีเยี่ยม ดีเสียจนทุกคนยกย่อง ชมเชย พร้อมกับคำพูดติดปากใครต่อใครหลายคนว่า ดูตัวอย่างสิงคโปร์สิ! หรือไม่ก็ ทำแบบสิงคโปร์สิ ถึงจะเอาอยู่
สิ่งที่อยู่ในใจหลายคนในเวลานั้นก็คือ สิงคโปร์น่าจะเป็นชาติแรกๆ ที่ "พ้นพงหนาม"การแพร่ระบาด และน่าจะเริ่มขั้นตอนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและจิตใจของคนในชาติได้ก่อนใคร
แต่แล้วสถานการณ์พลิกผัน ถึงตอนนี้ สิงคโปร์ไม่เพียงเป็นชาติที่เกิดการแพร่ระบาดมากที่สุดในบรรดาชาติอาเซียนด้วยกัน ยังมีเค้าลางอีกด้วยว่า การแพร่ระบาดที่นี่จะยืดเยื้อมากที่สุด อย่างน้อย ก็จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งมาตรการ "เซอร์กิต เบรกเกอร์" เข้มงวดของรัฐบาลกำหนดไว้คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้น? อะไรคือปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาลุกลามบานปลายใหญ่โตอยู่ในเวลานี้?
การเลือกปฏิบัติในสังคม
กลางเดือนมีนาคม คลื่นการแพร่ระบาดระลอกที่สองปรากฏขึ้นที่สิงคโปร์ คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในฮ่องกงและไต้หวัน นั่นคือ เริ่มต้นเมื่อเกิดการแพร่ระบาดขนานใหญ่ในต่างแดนไกลโพ้นอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา แล้วชาวสิงคโปร์ที่ไปปักหลักอยู่ในสถานที่เกิดการระบาดเหล่านั้นก็เร่งรีบเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน
หลังจากนั้น ไม่ว่าฮ่องกงก็ดี ไต้หวันก็ดี สามารถคุมจนเหลือผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละไม่กี่ราย ต่ำสิบเรื่อยไปจนถึงไม่มีเลยในกรณีของไต้หวัน สิงคโปร์กลับพบการระบาดเพิ่มพรวดพราดแบบที่นักระบาดวิทยาเรียกว่า "การแพร่แบบระเบิด"ไม่นานยอดติดเชื้อสะสมก็ทะลุหมื่น
"สองเดือนแรกเราเอาแต่ฉลอง แสดงความยินดีให้กับตัวเองอยู่นั่นแหละ"อเล็กซ์ อู๋ รองประธานกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ทรานเซียนท์ เวิร์กเคอร์ส เคานท์ ทู (ทีดับเบิลยูซี 2) บอกกับวอชิงตัน โพสต์
"ถ้าใครใส่ใจจะเหลือบแลสักนิด ก็จะเห็นทันทีว่า อันตรายอยู่ตรงหน้านี่เอง"
อันตรายที่ว่านั้นก็คือ แรงงานอพยพที่ได้รับใบอนุญาตให้เข้ามาทำงานในสิงคโปร์ ซึ่งไม่เพียงมีประชากรจำนวนจำกัดอย่างยิ่ง ยังหลีกเลี่ยงที่จะทำงานหลายต่อหลายอย่าง เปิดทางให้ต้อง "นำเข้า" แรงงานที่เกือบทั้งหมดมาจากเอเชียใต้เหล่านี้เข้ามามากเกือบ 300,000 คน เพื่อทำงานที่ "คนสิงคโปร์ไม่ทำ"
ถูกยัดเข้าไว้รวมกันอยู่ใน "หอพักคนงาน"ขนาดใหญ่ 43 แห่ง ที่กระจายกันอยู่ทั่วสิงคโปร์
อเล็กซ์ อู๋ ยืนยันว่า แรงงานนำเข้าเหล่านี้ ไม่เคย "อยู่ในสายตา" ของทางการสิงคโปร์เลยตั้งแต่แรกเริ่มวางแผนการดำเนินงานเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด ทุกอย่าง "โฟกัส" ไปที่พลเรือนสิงคโปร์ทั้งสิ้น
ตั้งแต่การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยป้องกันการติดเชื้อ แพร่เชื้อ, เจลล้างมือหรือน้ำยาเพื่อทำความสะอาด เรื่อยไปจนถึงหน้ากากผ้าใช้ซ้ำได้ ซึ่งแจกจ่ายกันเฉพาะแต่ในครัวเรือนสิงคโปร์
ชาวสิงคโปร์แท้ๆ ที่เดินทางกลับจากสหรัฐ อเมริกาและอังกฤษได้รับการกักกันโรคในโรงแรมระดับ 4 ดาว 5 ดาว ที่รัฐบาลควักเงินจ่ายให้ทั้งหมด
"สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพมองไม่เห็น ไร้ตัวตนของคนงานต่างชาติ กลไกทั้งหมดของประเทศขับเคลื่อนไปราวกับไม่มีคนเหล่านี้อยู่ด้วยเลยแม้แต่คนเดียว" อเล็กซ์ อู๋ ย้ำเฮลธ์เซิร์ฟ องค์การไม่แสวงกำไร ซึ่งให้บริการทางการแพทย์ราคาถูกแก่คนงานต่างชาติ ระบุว่า คนเหล่านี้ตื่นตัว รู้สึกไม่สบายใจ กระวนกระวายมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว ด้วยตระหนักดีว่าสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดของตัวเอง เพิ่มความเสี่ยงมหาศาลที่จะติดเชื้อ
แต่กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้แพทย์พยาบาลอาสาของคลินิกแรงงานเช่นนี้ไม่สามารถให้บริการนอกเวลาได้ต่อไป ผลก็คือบริการของเฮลธ์เซิร์ฟต้องลดลงมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์
แม้จะมีหอพักให้ มีห้องพักให้ แต่สภาพความเป็นอยู่ชนิด 10-12 คนต่อห้อง ทำยังไงก็ไม่สามารถสร้าง "โซเชียล ดิสแทนซิ่ง" ที่มีประสิทธิภาพได้แน่นอน
ถึงตอนนี้ หอพักเหล่านี้ซึ่งแต่ละหอมีแรงงานอยู่ประมาณ 25,000 คน ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในห้องไปแล้วทั้งหอรวม 25 หอพัก
ที่เหลือยังสามารถออกจากห้องได้ แต่ไม่สามารถออกนอกบริเวณของหอพักได้
ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 12,075 ราย ที่สิงคโปร์ในเวลานี้ เป็นแรงงานต่างชาติอยู่ราว 70 เปอร์เซ็นต์ กลับกลายเป็นเป้าให้ถูกชาวสิงคโปร์บางคน "ตีตรา" ว่าเป็นแหล่งเชื้อโรค เป็นพวกสกปรก เหมือนในจดหมายจากชาวสิงคโปร์รายหนึ่งซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าจดหมายของ เหลียนเหอ เจ่าเป้า หนังสือพิมพ์ภาษาจีนที่ขายดีที่สุดในสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้
ก่อนที่จะมีเสียงตอบจากคนสิงคโปร์ที่เที่ยงธรรมในโลกออนไลน์ขนานใหญ่ว่า เฮ้ แรงงานเหล่านี้ไม่ได้นำโควิด-19 เข้ามาในสิงคโปร์นะ
คนสิงคโปร์ต่างหากที่แพร่เชื้อให้พวกเขา!
แหล่งแพร่เชื้อ'ซ่อน'
มีคำถามชวนให้คิดอย่างยิ่งว่า ปัจจัยเรื่องแรงงานต่างด้าวอย่างเดียวจะส่งผลให้สิงคโปร์ตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้น "เซอร์กิต เบรกเกอร์" ไปจนถึงมิถุนายนเชียวหรือ? หรือสิงคโปร์มีความกังวลอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย ถึงได้ยอมให้เศรษฐกิจบอบช้ำต่อไปอีกขนาดนั้น?
คำตอบคือสิงคโปร์ยังมีสถิติของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นเรื่อง "กวนใจ" นักหนาอยู่อีกประการหนึ่ง
นั่นคือ ในทุกๆ 25 คนของผู้ติดเชื้อใหม่ที่เป็นคนสิงคโปร์จริงๆ หรือเป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักอยู่ในสิงคโปร์ และได้รับการตรวจยืนยันแล้วนั้น มีมากถึง 17 คน ที่ไม่รู้ว่าไปติดเชื้อมาจากไหน
คิดเป็นสัดส่วนแล้วมากมายมหาศาล คือ 68 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อยืนยันในสิงคโปร์ ไม่รู้ที่มา!
กระพือให้ข้อสงสัยที่ว่า สิงคโปร์จะมี "ฮิดเดน เรเซอร์วาร์" หรือ "แหล่งแพร่เชื้อซ่อน"ขนาดใหญ่อยู่ในสังคม แพร่หลายกว้างขวางมากขึ้นไปอีก
ขนาดนายกรัฐมนตรี ลี เซียน หลุง ยังยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเหตุผลหนึ่งในการขยายมาตรการเข้มของรัฐบาลออกไปอีกเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สิงคโปร์พบผู้ติดเชื้อใหม่วันละไม่ถึง 10 คน แต่ในเดือนเมษายนนี้ มีอย่างน้อย 3 วันแล้วที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อใหม่ วันหนึ่งๆ เกินกว่า 1,000 ราย
เป็นไปได้หรือที่มีแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 ขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครรู้ซุกซ่อนอยู่?
คำอธิบายที่เป็นไปได้มีอยู่ 2 ทางเตียว ยิก อิง คณบดีสำนักสาธารณสุข ซอว์ สวี ในสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (เอ็นยูเอส) ชี้ให้เห็นว่า เป็นไปได้ที่ว่า ในช่วงแรกๆ ที่มีผู้ป่วยไม่มากนัก ระบบตรวจสอบที่คนสิงคโปร์ภาคภูมิใจนักหนาที่เรียกว่า "คอนแทคต์ เทรซซิง" นั้น สามารถตรวจสอบลงลึกและได้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ แต่เมื่อมีงานในมือเยอะมากขึ้นการตรวจสอบก็ผิดพลาด พลั้งเผลอ ปล่อยให้หลุดมือไปมาก ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
ปัญหาของคำอธิบายนี้ก็คือ ถึงตอนนี้ ทางการสิงคโปร์เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่สำหรับการ "คอนแทคต์ เทรซซิง" มากขึ้นกว่าเดิมแล้วหลายเท่าตัว
ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ของสิงคโปร์มีประมาณ 70-100 คน ทำงานเป็นกะตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,300 คน ทำงาน 24/7 เหมือนกัน ทำไมถึงไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม?
เหลียง โฮ นัม ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาและโรคติดต่อชาวสิงคโปร์ อธิบายถึงทางที่เป็นไปได้อีกทางว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจแสดงให้เห็นว่า มีผู้ติดเชื้ออีกเป็นจำนวนมากในสิงคโปร์ที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อย และหายเองได้ แต่ในเวลาเดียวกันยังทำหน้าที่เป็น "พาหะของ โควิด-19" อยู่อย่างต่อเนื่องงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ บริติช เมดิคัล เจอร์นัล เมื่อ 2 เมษายนนี้ ระบุเอาไว้ว่า จากการศึกษาวิจัยพบว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 166 ราย มีมากถึง 78 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่แสดงอาการ
งานศึกษาวิจัยในสิงคโปร์เองระบุไว้ด้วยว่าพบผู้ป่วยจำนวนมากที่ "แพร่เชื้อ" ให้กับคนอื่นได้ "ก่อน" ที่ตัวเองจะแสดงอาการออกมาให้รู้ว่าติดเชื้อ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์กำลังพิจารณาอยู่ว่า จะ "ทำการใหญ่" ด้วยการตรวจหาเชื้อในประชากรทั้ง 5.7 ล้านคน (สำมะโน เมื่อปี 2019) ทั้งหมดหรือไม่
เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถหาหนทางกันเอาผู้ติดเชื้อในหอพักแรงงานต่างด้าวออกไปให้หมด และหาแหล่งที่มาของการแพร่เชื้อที่มองไม่เห็นนี้จนพบ
ตราบนั้น สิงคโปร์ก็ยังเปิดเมือง เปิดประเทศ ไม่ได้นั่นเอง!
Source: มติชนออนไลน์
ความคืบหน้า
- Singapore's COVID-19 cases top 13,000 after 931 more confirmed :
Cr. Bank of Thailand Scholarship Students
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you