เมื่อเกือบเจ็ดร้อยปีมาแล้ว ระหว่างช่วงกลาง 1300s เกิดการระบาดของกาฬโรคครั้งรุนแรง ที่ทำให้ชาวยุโรปยุคนั้นต้องมีมาตรการ social distancing ที่หนักหนาที่สุดในประวัติศาสตร์Boccacio กวีชื่อดังของยุคนั้นเขียนไว้ใน The Decameron ในปี 1353
.....panic ที่เกิดในระดับฮิสทีเรียมันสุด ๆ ขนาดที่ว่า "พี่น้องทอดทิ้งกันและกัน ...บิดามารดาปฏิเสธที่จะดูแลลูก ๆ ของตน..."
แล้วพอผู้คนรู้สึกว่า เรื่องเลวร้ายสุด ๆ ผ่านไปแล้ว พวกเขาก็ค่อย ๆ ออกจากบ้าน
ไม่มีพิธี grand re-opening เศรษฐกิจของประเทศ ในแบบที่ห้างสรรพสินค้ากำลังคิดกันตอนนี้ ....แต่ผู้คนก็ยังไม่วางใจกันและกันอยู่ ยังคงหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน..ครอบครัว..หรือกับเพื่อนร่วมอาชีพ
ธุรกิจการค้าดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เศรษฐกิจยังคงซบเซาอยู่นานนับปี
ครั้นพอถึงเวลาที่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะกลับมาเริ่มดีขึ้นแล้ว กาฬโรคก็กลับมาระบาดอีกครั้งในปี 1360 และอีกครั้งปี 1374
ในยุโรปสมัยกลางเริ่มค้นพบว่า ถ้ายังคงมีหนูแม้เพียงตัวเดียวในโลกนี้ที่สามารถเป็นพาหะของโรคได้ ...การระบาดของโรคนี้ก็ยังคงไม่จบสิ้นหรอก
และนั่นมันทำให้รู้ว่า..ไม่มีทางที่จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้
มีอุตสาหกรรมบางชนิดเท่านั้นที่ยังคงรุ่งเรืองอยู่ได้..หลังการระบาดของกาฬโรค ..เพราะผู้คนก็ยังคงต้องกิน ดังนั้นการเกษตรกรรมเพื่อการผลิตอาหารก็ยังคงดีอยู่
และจากการที่คนส่วนใหญ่ยังคงต้องกักตัวเองอยู่บ้าง วิทยาศาสตร์จึงเข้ามามีบทบาทในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุโรปตะวันตกยุคนั้น
อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เจ๊งอย่างไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี
ธุรกิจการค้าหดตัวรุนแรง ..อุตสาหกรรมทอผ้าขนสัตว์ในอิตาลีต้องปิดตัวลง ...ธนาคารชื่อดังหลายแห่งของยุโรปพากันเจ๊ง ...แม้แต่หนี้สาธารณะของรัฐบาลบางแห่งก็ยังชักดาบ
แต่สถานการณ์ปัจจุบัน..เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างกัน โลกมีการพัฒนาและกำลังคิดหาหนทางทำให้ต้นเหตุของการระบาดนี้มันสูญพันธ์ให้ได้
ขณะเดียวกันการผลิตสินค้าและการบริการหลายอย่างก็ยังคงดีอยู่ ...มันเป็นการส่งสินค้าได้ทั่วโลกผ่านทางการค้าออนไลน์ ...จนถึง home delivery
แต่หลาย ๆ อย่างก็ยังคงเหมือนกับยุคก่อน และยากที่จะมองข้ามไป
ตอนนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ต้องกักตัวเองอยู่ในบ้านของตน ส่วนนักวางแผนทั้งหลายก็กำลังรอให้ไวรัสมันตายซะที
แต่นี่ดูเหมือนจะขัดกับที่รู้มาใน biology อยู่ซักหน่อยนะ
ก็เป็นแบบที่คนในยุค 1300s รู้อยู่ ถ้ามีพาหะของโรคแม้เพียงหนึ่งเดียว .....การระบาดของโรคก็พร้อมจะเริ่มเกิดขึ้นได้อีก
ถ้ามีผู้ติดเชื้ออยู่ 2-3 คน คนเหล่านี้แต่ละคนก็จะสามารถแพร่เชื้อไปได้อีก 2-3 คน กร้าฟการเพิ่มก็พร้อมจะเป็นเส้นโค้งแบบ exponential ทันทีอีกครั้ง
Lockdowns ไม่อาจฆ่าไวรัสได้หรอก มันแค่เป็นเพียงการรีเซ็ทนาฬิกา
จะเกิดอะไรขึ้น..ถ้ามีการระบาดเกิดขึ้นเป็นระลอกที่สอง ....เราจะต้องมีการ lockdown เป็นเวลาสองเดือนเกิดขึ้นอีกครั้ง..จนทำให้เศรษฐกิจพังหรือเปล่า
และถึงแม้จะยกเลิกการ lockdown อุตสาหกรรมหลายภาคนับไม่ถ้วนก็จะต้องเปลี่ยนรูปแบบไป ...เราจะยังมีธุรกิจที่เป็นที่รวมของฝูงชนเช่น ผับบาร์..ธุรกิจการบิน..สนามกีฬา..แหล่งช้อปปิ้ง อยู่พร้อมหน้าเป็นปกติอีกหรือ
แม้แต่ที่ทำงานที่เราคุ้นที่สุดเช่นในออฟฟิซ ..ก็มีผลกระทบ
ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องมีการ downsize ต้องมีการลดกำลังคน และลดขนาดพื้นที่ในออฟฟิซ แม้แต่ Disney ก็มีความคิดลดขนาดพื้นที่..ในที่ทำงานของตน
เทรนด์นี้จะต้องมีผลกระทบอย่างแรงต่ออุตสาหกรรมเรียลเอสเตทศูนย์การค้าแน่ ๆ เริ่มจากผู้ออกแบบ ผู้ก่อสร้าง เจ้าของพื้นที่ ตลอดจนธนาคารเจ้าของเงินทุน
ห้างค้าปลีกน่ะ มันหายไปก่อนหน้านี้แล้ว การแจ้งยื่นขอล้มละลายน่ะ เอกสารกองเป็นตั้งเลย ..นี่มันกระทบคนทำงานที่เกี่ยวข้องนับล้านคนในภาคค้าปลีก และมันจะไปจุดชนวนการชักดาบหนี้แบ้งค์ของห้างค้าปลีกยักษ์อีกหลายแห่งด้วย
และเมื่อวานนี้คุณ ๆ ก็อาจเห็นแล้วว่าราคาน้ำมัน WTI มันแครชลงไปต่ำกว่า $0 ต่อบาเรล .....แล้วบริษัทน้ำมันจำนวนมากมันจะไปเหลือเหรอ
คนทำงานในภาคการผลิตน้ำมันก็คงจะต้องตกงาน และแน่นอน ธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทน้ำมันเหล่านี้ ...แบ้งค์บางแห่งปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทน้ำมันมากเกินกว่า 100% ของทุนของแบ้งค์ซะอีก
และมันก็ไม่ใช่แค่ภาคพลังงานเท่านั้น
ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อให้ห้างค้าปลีกก็จะต้องเจอ ...ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อให้เรียลเอสเตทศูนย์การค้าก็จะต้องเจอ
แล้วยังมีสินเชื่อบริโภคส่วนบุคคลที่แน่นอนว่าจะต้องเจอเหมือนกัน เพราะคนตกงานอีกนับล้านก็คงจะต้องเตรียมเอามือจับดาบแล้วด้วย
แต่เรื่องใหญ่คือ จะต้องมีการชักดาบของหนี้สาธารณะระดับชาติเกิดขึ้นด้วย ธนาคารจำนวนมากจะต้องเจอครั้งใหญ่เลย
หนี้ทั้งหมดในโลกนี้มีมากกว่า $250 ล้านล้าน ...เจ้าหนี้ส่วนใหญ่คือธนาคาร ถ้ามีหนี้สูญเกิดขึ้นแม้เพียง 1% แบ้งค์จำนวนมากก็จะไม่รอด
ถ้าคุณจะคิดว่า แบ้งค์เจ๊งน่ะเป็นเรื่อง impossible ...ก็อย่าลืมว่าเรื่องราคาน้ำมันที่มันติดลบถึง $40 เมื่อวานน่ะ ก็ไม่เคยมีใครคิดว่ามันจะ possible มาก่อนนิ
scenario อะไรตอนนี้ มันก็ possible ทั้งนั้นแหละคู๊น
และนี่ก็นำไปสู่ไอเดียอีกเรื่องนึง:
ก็ไม่รู้ว่าราคาหุ้นในตลาดมันจะขึ้นไปอีกหรือร่วงลง หรือจะเกิดอะไรต่อไปกับราคาน้ำมัน
แต่ก็ไม่น่าต้องสงสัยว่ารัฐบาลและธนาคารกลางกำลังรวมหัวกันพิมพ์เงินเพิ่มแบบไม่จำกัดจำนวนที่จะ bail-out ทุก ๆ คนโดยเฉพาะแบ้งค์อีกหรือเปล่า
สิ่งสุดท้ายที่นักการเมืองจะคำนึงถึงก็คือเรื่องค่าของเงิน ....เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่า เงินเฟ้อน่ะ มักจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในยามวิกฤต
ถ้าจะต้องเสกเงินกลางอากาศมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางเศรษฐกิจ พวกเขาก็จะทำ ถึงแม้มันจะเป็นการทำลายค่าเงินก็เถอะ
นี่จะเป็นตัวชี้นำให้เราเตรียมตัว..ว่าจะต้องทำอะไรต่อไปนะ
Cr. Sayan Rujiramora
เพิ่มเพื่อนรับข่าวสารตลาดหุ้น Forex และบทความดีๆ ด้านการเงิน การลงทุน ฟรี !!
http://line.me/ti/p/%40zhq5011b
Line ID:@fxhanuman
Web : https://www.fxhanuman.com
Web : https://www.eluforex.com/
FB:https://www.facebook.com/review.forex.broker/
เยี่ยมชม partner ของเราที่ Eluforex รีวิวโบรกเกอร์ Forex
#forex #ลงทุน #peppers #xm #fbs #exness #uag #icmarkets #avatrade #fxtm #tickmill #fxpro #fxopen #fxcl #forex3d #forex4you